tag:blogger.com,1999:blog-79710810965278850972023-11-15T10:17:52.420-08:00วัฒนธรรมไทยAnonymoushttp://www.blogger.com/profile/09618402395013393039noreply@blogger.comBlogger8125tag:blogger.com,1999:blog-7971081096527885097.post-75003735674265921162012-06-25T07:41:00.002-07:002012-06-25T07:41:46.286-07:00สัตว์ป่า<br />
<div align="center" class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0.0001pt 36pt; text-align: center;">
<span style="font-family: 'MS Sans Serif';"><br /></span></div>
<div class="MsoNormal" style="font-family: Tahoma; margin: 0cm 0cm 0.0001pt 36pt;">
<span style="background-color: white;"><span style="font-family: 'MS Sans Serif';"><b><br /></b></span></span></div>
<div class="MsoNormal" style="font-family: Tahoma; margin: 0cm 0cm 0.0001pt 36pt; text-align: center;">
<span style="background-color: white;"><span style="font-family: 'MS Sans Serif';"><b><span style="font-size: x-large;">สัตว์ป่า</span></b></span></span></div>
<div class="MsoNormal" style="font-family: Tahoma; margin: 0cm 0cm 0.0001pt 36pt;">
<span style="background-color: white;"><span style="font-family: 'MS Sans Serif';"><b> </b></span><span lang="TH"><b>สัตว์ป่าคุ้มครอง </b>เป็นสัตว์ทั้งที่ปกติไม่นิยมใช้เป็นอาหารและใช้เป็นอาหารทั้งที่ไม่ใช่ล่าเพื่อการกีฬาและล่า</span><span lang="TH">เพื่อการกีฬา ตามที่กฎกระทรวงเกษตรและสหกรณ์กำหนดไว้ มากกว่า </span><span style="font-family: 'MS Sans Serif';">200 </span><span lang="TH">ชนิด เช่น ค่าง ชะนี อีเห็น ไก่ฟ้า</span>เหยี่ยว ช้างป่า แร้ง กระทิง กวาง หมีควาย อีเก้ง นกเป็ดน้ำ เป็นต้น</span></div>
<div class="MsoNormal" style="font-family: Tahoma; margin: 0cm 0cm 0.0001pt 36pt;">
<span style="background-color: white;"><span lang="TH">บทลงโทษ ทั้งสัตว์ป่าสงวนสัตว์ป่าคุ้มครองและซากของสัตว์ป่าสงวนหรือซากของสัตว์ป่าคุ้มครอง ห้ามมิให้ผู้</span>ใดทำการล่ามีไว้ในครอบครอง ค้าขายและนำเข้าหรือส่งออก หากผู้ใดฝ่าฝืนต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสี่ปีหรือปรับไม่เกินสี่หมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ</span></div>
<div align="center">
<table border="0" cellpadding="0" class="MsoNormalTable" style="margin-left: 36pt;"><tbody>
<tr><td style="padding: 0.75pt;"><div class="MsoNormal" style="font-family: Tahoma; margin: 0cm 0cm 0.0001pt;">
<span style="background-color: white;"><img height="152" hspace="20" id="_x0000_i1026" src="http://www.school.net.th/library/snet6/envi2/subtiger/s5.gif" tppabs="http://www.school.net.th/library/snet6/envi2/subtiger/s5.gif" width="248" /><o:p></o:p></span></div>
</td><td style="padding: 0.75pt;"><div class="MsoNormal" style="font-family: Tahoma; margin: 0cm 0cm 0.0001pt;">
<span style="background-color: white;"><img height="148" id="_x0000_i1027" src="http://www.school.net.th/library/snet6/envi2/subtiger/s7.gif" tppabs="http://www.school.net.th/library/snet6/envi2/subtiger/s7.gif" width="244" /><o:p></o:p></span></div>
</td></tr>
<tr style="height: 13.4pt;"><td style="height: 13.4pt; padding: 0.75pt;"><div align="center" class="MsoNormal" style="font-family: Tahoma; margin: 0cm 0cm 0.0001pt; text-align: center;">
<span style="background-color: white;"><span lang="TH">นกกินลูกไม้</span><o:p></o:p></span></div>
</td><td style="height: 13.4pt; padding: 0.75pt;"><div align="center" class="MsoNormal" style="font-family: Tahoma; margin: 0cm 0cm 0.0001pt; text-align: center;">
<span style="background-color: white;"><span lang="TH">กระทิง</span><o:p></o:p></span></div>
</td></tr>
</tbody></table>
</div>
<div class="MsoNormal" style="font-family: Tahoma; margin: 0cm 0cm 0.0001pt 36pt;">
<span style="background-color: white;"><u><span lang="TH"><b>คุณค่าของสัตว์ป่า</b></span></u><u><span style="font-family: 'MS Sans Serif';"><o:p></o:p></span></u></span></div>
<div class="MsoNormal" style="font-family: Tahoma; margin: 0cm 0cm 0.0001pt 36pt;">
<span style="background-color: white;"><span lang="TH"> สัตว์ป่าอำนวยประโยชน์นานาประการให้แก่มนุษย์และทรัพยากรธรรมชาติอื่น ๆ มากมาย อย่างไรก็ตามประโยชน์</span></span><span lang="TH">ส่วนใหญ่เป็นไปในทางอ้อมมากกว่าทางตรงจึงทำให้มองไม่ค่อยเห็นคุณค่าของสัตว์ป่าเท่าที่ควร เมื่อเทียบกับ</span><span style="background-color: white;">ทรัพยากรธรรมชาติอื่น ๆ เช่น ป่าไม้ น้ำ และแร่ธาตุ เป็นต้น ตัวอย่างคุณค่าของสัตว์ป่า เป็นต้นว่า</span></div>
<div class="MsoNormal" style="font-family: Tahoma; margin: 0cm 0cm 0.0001pt 36pt;">
<span style="background-color: white;"><span style="font-family: 'MS Sans Serif';">1. </span><span lang="TH">ด้านเศรษฐกิจ ประโยชน์ด้านเศรษฐกิจที่มนุษย์ได้จากสัตว์ป่าก็ได้แก่การค้าสัตว์ป่า หรือซากของสัตว์ป่าโดย</span></span>เฉพาะหนังสือป่าในปีหนึ่ง ๆ ทำรายได้ให้กับประเทศและมีเงินหมุนเวียนภายในประเทศจำนวนไม่น้อย คุณค่าทางด้านเศรษฐกิจจะรวมถึงรายได้ต่าง ๆ จากการท่องเที่ยวในการชมสัตว์ด้วย</div>
<div class="MsoNormal" style="font-family: Tahoma; margin: 0cm 0cm 0.0001pt 36pt;">
<span style="background-color: white;"><span style="font-family: 'MS Sans Serif';">2. </span><span lang="TH">การเป็นอาหาร มนุษย์ได้ใช้เนื้อของสัตว์ป่าเป็นอาหารเป็นเวลาช้านานแล้ว ซึ่งสัตว์ป่าหลายชนิดก็ได้พัฒนาจน</span></span>กระทั่งกลายเป็นเลี้ยงไป สัตว์ป่าหลายชนิดตามธรรมชาติคนก็ยังนิยมใช้เนื้อเป็นอาหารอยู่ เช่น หมูป่า เก้ง กวาง กระจง กระทิง นกเขาเปล้า นกเป็ดน้ำ ตะกวด แย้ เป็นต้น อวัยวะของสัตว์ป่าบางอย่าง เช่น นอแรด <span class="SpellE">กระโหลก</span>เลียงผา เขากวางอ่อน เลือดและกระเพาะค่าง ดีของหมี ดีงูเห่า ก็ยังมีผู้นิยมดัดแปลงเป็นอาหาร หรือใช้เป็นเครื่องยาสมุนไพรอีกด้วย</div>
<div align="center">
<table border="0" cellpadding="0" class="MsoNormalTable" style="margin-left: 36pt;"><tbody>
<tr><td style="padding: 0.75pt;"><div class="MsoNormal" style="font-family: Tahoma; margin: 0cm 0cm 0.0001pt;">
<span style="background-color: white;"><img height="114" hspace="20" id="_x0000_i1028" src="http://www.school.net.th/library/snet6/envi2/subtiger/s3.gif" tppabs="http://www.school.net.th/library/snet6/envi2/subtiger/s3.gif" width="180" /><o:p></o:p></span></div>
</td><td style="padding: 0.75pt;"><div class="MsoNormal" style="font-family: Tahoma; margin: 0cm 0cm 0.0001pt;">
<span style="background-color: white;"><img height="113" id="_x0000_i1029" src="http://www.school.net.th/library/snet6/envi2/subtiger/s4.gif" tppabs="http://www.school.net.th/library/snet6/envi2/subtiger/s4.gif" width="185" /><o:p></o:p></span></div>
</td></tr>
<tr><td style="padding: 0.75pt;"><div align="center" class="MsoNormal" style="font-family: Tahoma; margin: 0cm 0cm 0.0001pt; text-align: center;">
<span style="background-color: white;"><span lang="TH">หมูป่า</span><o:p></o:p></span></div>
</td><td style="padding: 0.75pt;"><div align="center" class="MsoNormal" style="font-family: Tahoma; margin: 0cm 0cm 0.0001pt; text-align: center;">
<span style="background-color: white;"><span lang="TH">ตะกวด</span><o:p></o:p></span></div>
</td></tr>
</tbody></table>
</div>
<div class="MsoNormal" style="font-family: Tahoma; margin: 0cm 0cm 0.0001pt 36pt;">
<span style="background-color: white;"><span lang="TH"><b>เครื่องใช้เครื่องประดั</b>บ นอกจากเนื้อของสัตว์ป่าและส่วนต่าง ๆ ของสัตว์ป่าจะใช้เป็นอาหารและยาแล้ว อวัยวะ</span></span>บางอย่างของสัตว์ป่าก็ยังใช้ประโยชน์ต่าง ๆ ได้อีกมากมาย เช่น หนังใช้ทำกระเป๋า รองเท้า เครื่องนุ่งห่ม งาช้าง ใช้เป็นเครื่องประดับ กระดูก เขาสัตว์ใช้ทำด้ามมีดด้ามเครื่องมือ หรือแกะสลักต่าง ๆ เป็นต้น</div>
<div class="MsoNormal" style="font-family: Tahoma; margin: 0cm 0cm 0.0001pt 36pt;">
<span style="background-color: white;"><span style="font-family: 'MS Sans Serif';"><b><br /></b></span></span></div>
<div class="MsoNormal" style="font-family: Tahoma; margin: 0cm 0cm 0.0001pt 36pt;">
<span style="background-color: white;"><span style="font-family: 'MS Sans Serif';"><b>ก</b></span><span lang="TH"><b>ารนันทนาการและด้านจิตใจ</b> นับเป็นคุณค่าอันยิ่งใหญ่ของสัตว์ป่า แต่ไม่สามารถประเมินเป็นตัวเงินได้โดยง่าย</span></span>การท่องเที่ยวชมสัตว์ป่าในสวนสัตว์ อุทยานแห่งชาติ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าและแหล่งสัตว์ป่าอื่น ๆ นับเป็นเรื่องนันทนาการทั้งสิ้นเช่นเดียวกับการสงสารสัตว์ป่าที่ถูกทรมาน กักขัง หรืออื่นใดก็ตามที สัตว์อยู่อย่างไม่ผาสุกก็เป็นเรื่องจิตใจ รวมตลอดทั้งการท่องเที่ยวป่าเห็นสัตว์ป่าหรือไม่เห็นสัตว์ป่า ซึ่งควรประดับความงามตามธรรมชาติเป็นทั้งนันทนาการและด้านจิตใจทั้งสิ้น</div>
<div class="MsoNormal" style="font-family: Tahoma; margin: 0cm 0cm 0.0001pt 36pt;">
<span style="background-color: white;"><span lang="TH"><b><br /></b></span></span></div>
<div class="MsoNormal" style="font-family: Tahoma; margin: 0cm 0cm 0.0001pt 36pt;">
<span style="background-color: white;"><span lang="TH"><b>ด้านวิทยาศาสตร์ การศึกษา และการแพท</b>ย์ สัตว์ป่านับมีคุณค่าใหญ่หลวงที่ทำให้นักวิทยาศาสตร์ นักการศึกษา</span></span>และแพทย์ ประสบผลสำเร็จในด้านการค้นคว้าทดลองต่าง ๆ โดยขั้นแรกเขาทดลองกับสัตว์ป่าเสียก่อน เช่น ทดลองกับหนู กระแต ลิง จากนั้นจึงนำไปใช้กับคนการค้นคว้า ทดลองเหล่านี้หากไม่มีสัตว์ป่าเป็นเครื่องทดลองก่อนแล้ว ก็อาจจะมีผลสะท้อนถึงคนอย่างมาก</div>
<div class="MsoNormal" style="font-family: Tahoma; margin: 0cm 0cm 0.0001pt 36pt;">
<b><br /></b></div>
<div class="MsoNormal" style="font-family: Tahoma; margin: 0cm 0cm 0.0001pt 36pt;">
<b>เป็นตัวควบคุมสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ</b> สัตว์ป่านับได้ว่าเป็นตัวควบคุมสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสัตว์ด้วยกันเอง ทำให้ผลกระทบต่อคนบรรเทาเบาบางลงไปไม่มากก็น้อย เช่น ค้างคาวกินแมลง นกฮูกและงูสิงกินหนูต่าง ๆ นกกินตัวหนอนที่ทำลายพืชเศรษฐกิจ เป็นต้น ซึ่งหากไม่มีสัตว์ป่าต่าง ๆ ดังกล่าวแล้วคนอาจจะต้องเสียเงินทองจำนวนมากกว่าเป็นอยู่ในปัจจุบันที่จะต้องกำจัดศัตรูทั้งทางตรงและทางอ้อมเหล่านี้</div>
<div class="MsoNormal" style="font-family: Tahoma; margin: 0cm 0cm 0.0001pt 36pt;">
<span style="background-color: white;"><span lang="TH"><b><br /></b></span></span></div>
<div class="MsoNormal" style="font-family: Tahoma; margin: 0cm 0cm 0.0001pt 36pt;">
<span style="background-color: white;"><span lang="TH"><b>คุณค่าของสัตว์ป่าต่อทรัพยากรธรรมชาติอื่น ๆ</b> คนส่วนใหญ่มองเห็นความสัมพันธ์ระหว่างทรัพยากรธรรมชาติ</span></span>ต่าง ๆ อย่างชัดเจน โดยเฉพาะทรัพยากรป่าไม้ เป็นต้นว่า ป่าไม้ทำให้สัตว์ป่ามีที่อยู่อาศัย เป็นอาหาร และเป็นที่หลบภัย ป่าไม้ทำให้ดินอุดมสมบูรณ์ ป้องกันการกัดเซาะของน้ำ ลม ป่าไม้ช่วยทำให้มีน้ำไหลตลอดปี น้ำใสสะอาดปราศจากตะกอน ป่าไม้ช่วยทำให้ฝนตก บรรเทากระแสลมพายุ ป่าไม้ทำให้อากาศไม่ร้อนไม่หนาว ป่าไม้เป็นแหล่งสะสมแร่ธาตุและป่าไม้ทำให้มนุษย์ได้ใช้สอย ขาดป่าไม้ทรัพยากรธรรมชาติอื่น ๆ ก็อยู่ไม่ได้ ทำนองเดียวกันกับทรัพยากรธรรมชาติอื่น ๆ ที่คนจะมองเห็นความสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน ทั้งนี้ยกเว้นสัตว์ป่ามักจะมองเห็นเฉพาะต้องอาศัยทรัพยากรธรรมชาติอื่น ๆ เท่านั้น แต่ในข้อเท็จจริงแล้ว สัตว์ป่าก็มีผลต่อทรัพยากรธรรมชาติอื่น ๆ ไม่น้อยเช่นเดียวกัน อย่างเช่นทรัพยากรป่าไม้ สัตว์ป่า ก็มีส่วนช่วยหลายอย่าง เช่น</div>
<div class="MsoNormal" style="font-family: Tahoma; margin: 0cm 0cm 0.0001pt 36pt;">
<span style="background-color: white;"><span style="font-family: 'MS Sans Serif';"> </span></span></div>
<div class="MsoNormal" style="font-family: Tahoma; margin: 0cm 0cm 0.0001pt 36pt;">
<span style="background-color: white;"><span lang="TH"><b>สัตว์ป่าช่วยทำลายศัตรูป่าไม้ </b>ต้นไม้ในป่าจะมีศัตรูตามธรรมชาติเสมอ ๆ เช่น โรคและแมลง เป็นต้น แต่ศัตรูเหล่า</span></span>นี้จะไม่ระบาด โดยเฉพาะแมลงหากมีตัวทำลายสัตว์ป่าหลายชนิดเป็นตัวกำจัดแมลงนอกจากที่กล่าวไปแล้วก็มี เช่นนกหัวขวาน นกไต่ไม้ จะกินแมลงและตัวหนอน ตามลำต้น นกกินแมลง นกจับแมลง จะกินแมลงที่มาทำลายใบ ดอกและผล ตุ่น หนูผี จะกินหนอนที่มากินรากและลำต้นใต้ดิน หากปราศจากสัตว์เหล่านี้แล้วต้นไม้จะได้รับความเสียหาย</div>
<div class="MsoNormal" style="font-family: Tahoma; margin: 0cm 0cm 0.0001pt 36pt;">
<span style="background-color: white;"><span lang="TH">และอาจจะตายในที่สุด</span><span style="font-family: 'MS Sans Serif';"><o:p></o:p></span></span></div>
<div class="MsoNormal" style="font-family: Tahoma; margin: 0cm 0cm 0.0001pt 36pt;">
<span style="background-color: white;"><span lang="TH"><b><br /></b></span></span></div>
<div class="MsoNormal" style="font-family: Tahoma; margin: 0cm 0cm 0.0001pt 36pt;">
<span style="background-color: white;"><span lang="TH"><b>สัตว์ป่าช่วยผสมเกสรดอกไม้</b> ต้นไม้ผสมเกสรได้นั้นอาศัยปัจจัยหลายอย่างช่วย เช่น ลม และแมลงสำหรับสัตว์ป่า</span></span><span style="background-color: white;">บางชนิดก็เป็นตัวที่ช่วยผสมเกสรด้วย เช่น นกกินปลี นกปลีกล้วย และค้างคาวกินน้ำหวานดอกไม้ เป็นต้น สัตว์ป่าเหล่า</span>นี้จะช่วยผสมเกสรดอกไม้ในขณะที่กินน้ำหวานดอกไม้จากดอกหนึ่งไปยังอีกดอกหนึ่งหรือจากต้นหนึ่งไปยังอีกต้นหนึ่ง ทำนองเดียวกับลมและแมลงดังกล่าวแล้ว</div>
<div class="MsoNormal" style="font-family: Tahoma; margin: 0cm 0cm 0.0001pt 36pt;">
<span style="background-color: white;"><span lang="TH"><b><br /></b></span></span></div>
<div class="MsoNormal" style="font-family: Tahoma; margin: 0cm 0cm 0.0001pt 36pt;">
<span style="background-color: white;"><span lang="TH"><b>สัตว์ป่าช่วยในการกระจายเมล็ดพันธุ์ไม้</b> สัตว์ป่าบางชนิด เช่น นกขุนทอง นกเงือก ค้างคาวบางชนิด ลิง ค่าง ชะนี</span></span>กวาง เก้ง กระทิง วัวแดง เป็นต้น จะกินผลไม้เป็นอาหาร แล้วคายหรือถ่ายเมล็ดออกมาตามที่ต่าง ๆ เมล็ดไม้บางชนิดไม่ได้รับความเสียหายใด ๆ ในการผ่านกระเพาะของสัตว์เหล่านี้ก็เท่ากับสัตว์ป่าช่วยในการกระจายเมล็ดพันธุ์ไม้ไปในที่ต่าง ๆ ที่สัตว์ท่องเที่ยวไปแล้วคายหรือถ่ายเมล็ดไม้ออกมา</div>
<div class="MsoNormal" style="font-family: Tahoma; margin: 0cm 0cm 0.0001pt 36pt;">
<span style="background-color: white;"><span lang="TH"><b><br /></b></span></span></div>
<div class="MsoNormal" style="font-family: Tahoma; margin: 0cm 0cm 0.0001pt 36pt;">
<span style="background-color: white;"><span lang="TH"><b>สัตว์ป่าช่วยทำให้ดินอุดมสมบูรณ์ยิ่งขึ้น</b> มูลของสัตว์เกือบทุกชนิดใช้เป็นปุ๋ยได้อย่างดี เท่ากับเพิ่มความอุดมสมบูรณ์</span></span>ให้กับดิน ในขณะเดียวกันเมื่อสัตว์ป่าตายลง ซากของสัตว์ป่าก็จะกลายเป็นปุ๋ยได้เช่นเดียวกัน ทุกวันนี้เกิดปัญหาการดัดแปลงมูลของสัตว์ป่าบางชนิด เช่น มูลของค้างคาว ซึ่งมีอยู่มากมายตามถ้ำต่าง ๆ ให้ใช้อย่างถูกต้อง ก็จะทำให้แก้ปัญหาต่าง ๆ ได้ ทุกวันนี้แม้ว่าจะใช้มูลค้างคาวเป็นปุ๋ยอยู่บ้าง ก็อยู่เฉพาะในวงจำกัด ในปัจจุบันวงการป่าไม้เองก็ต้องใช้ปุ๋ยในสวนป่าเหมือนกันทั้งนี้เนื่องจากการทำงานสัตว์ป่าออกไปเกือบหมดป่านั่นเอง</div>
<div align="center" class="MsoNormal" style="font-family: Tahoma; margin: 0cm 0cm 0.0001pt 36pt; text-align: center;">
<span style="background-color: white;"><span style="font-family: 'MS Sans Serif';"><img height="144" id="_x0000_i1030" src="http://www.school.net.th/library/snet6/envi2/subtiger/s6.gif" tppabs="http://www.school.net.th/library/snet6/envi2/subtiger/s6.gif" width="242" /></span><span lang="TH">วัวแดง</span><span style="font-family: 'MS Sans Serif';"><o:p></o:p></span></span></div>
<div class="MsoNormal" style="font-family: Tahoma; margin: 0cm 0cm 0.0001pt 36pt;">
<span style="background-color: white;"><u><span lang="TH"><b>ปัญหาทรัพยากรสัตว์ป่า</b></span></u><u><span style="font-family: 'Times New Roman';"><o:p></o:p></span></u></span></div>
<div class="MsoNormal" style="font-family: Tahoma; margin: 0cm 0cm 0.0001pt 36pt;">
<span style="background-color: white;"><span lang="TH">ในปัจจุบันสัตว์ป่ามีจำนวนลดน้อยลงมาก ชนิดที่สมัยก่อนมีอยู่ชุกชุมก็ไม่ค่อยได้พบเห็นอีกบางชนิดก็ถึงกับสูญพันธุ์</span><span style="font-family: 'MS Sans Serif';"><o:p></o:p></span></span></div>
<div class="MsoNormal" style="font-family: Tahoma; margin: 0cm 0cm 0.0001pt 36pt;">
<span style="background-color: white;"><span lang="TH">ไปเลย ปัญหานี้สาเหตุมาจาก</span><span style="font-family: 'MS Sans Serif';"><o:p></o:p></span></span></div>
<div class="MsoNormal" style="font-family: Tahoma; margin: 0cm 0cm 0.0001pt 36pt;">
<span style="background-color: white;"><span style="font-family: 'MS Sans Serif';">1. </span><span lang="TH">ถูกทำลายโดยการล่าโดยตรงไม่ว่าจะล่าเพื่ออาหารหรือเพื่อการกีฬาหรือเพื่ออาชีพ</span><span style="font-family: 'MS Sans Serif';"><o:p></o:p></span></span></div>
<div class="MsoNormal" style="font-family: Tahoma; margin: 0cm 0cm 0.0001pt 36pt;">
<span style="background-color: white;"><span style="font-family: 'MS Sans Serif';">2. </span><span lang="TH">การสูญพันธุ์หรือลดน้อยลงไปตามธรรมชาติของสัตว์ป่าเอง ถ้าหากไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากับความเปลี่ยนของ</span><span style="font-family: 'MS Sans Serif';"><o:p></o:p></span></span></div>
<div class="MsoNormal" style="font-family: Tahoma; margin: 0cm 0cm 0.0001pt 36pt;">
<span style="background-color: white;"><span lang="TH">สภาพแวดล้อมได้ หรือจากสาเหตุภัยธรรมชาติต่าง ๆ เช่น น้ำท่วม ไฟป่า</span><span style="font-family: 'MS Sans Serif';"><o:p></o:p></span></span></div>
<div class="MsoNormal" style="font-family: Tahoma; margin: 0cm 0cm 0.0001pt 36pt;">
<span style="background-color: white;"><span style="font-family: 'MS Sans Serif';">3. </span><span lang="TH">การนำสัตว์ป่าต่างถิ่น (</span><span style="font-family: 'MS Sans Serif';">Exotic a</span><span style="font-family: 'Times New Roman';">n</span><span style="font-family: 'MS Sans Serif';">imal) </span><span lang="TH">เข้าไปในระบบนิเวศสัตว์ป่าประจำถิ่น ทำให้เกิดผลกระทบต่อระบบนิเวศ ความ</span><span style="font-family: 'MS Sans Serif';"><o:p></o:p></span></span></div>
<div class="MsoNormal" style="font-family: Tahoma; margin: 0cm 0cm 0.0001pt 36pt;">
<span style="background-color: white;"><span lang="TH">สมดุลของสัตว์ป่าประจำถิ่นจนอาจเกิดการสูญพันธุ์</span><span style="font-family: 'MS Sans Serif';"><o:p></o:p></span></span></div>
<div class="MsoNormal" style="font-family: Tahoma; margin: 0cm 0cm 0.0001pt 36pt;">
<span style="background-color: white;"><span style="font-family: 'MS Sans Serif';">4. </span><span lang="TH">การทำลายถิ่นที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่า ซึ่งก็ได้แก่การที่ป่าไม้ถูกทำลายด้วยวิธีการต่าง ๆ ไม่ว่าจะโดยถากถางและเผา</span><span style="font-family: 'MS Sans Serif';"><o:p></o:p></span></span></div>
<div class="MsoNormal" style="font-family: Tahoma; margin: 0cm 0cm 0.0001pt 36pt;">
<span style="background-color: white;"><span lang="TH">เพื่อทำการเกษตรกิจกรรมการพัฒนา เช่น การตัดถนนผ่านเขตป่า การสร้างเขื่อน ฯลฯ ทำให้สัตว์ป่าบางส่วนต้องอพยพ</span><span style="font-family: 'MS Sans Serif';"><o:p></o:p></span></span></div>
<div class="MsoNormal" style="font-family: Tahoma; margin: 0cm 0cm 0.0001pt 36pt;">
<span style="background-color: white;"><span lang="TH">ไปอยู่ที่อื่นหรือไม่ก็เสียชีวิตขณะที่ถิ่นที่อยู่อาศัยถูกทำลาย</span><span style="font-family: 'MS Sans Serif';"><o:p></o:p></span></span></div>
<div class="MsoNormal" style="font-family: Tahoma; margin: 0cm 0cm 0.0001pt 36pt;">
<span style="background-color: white;"><span style="font-family: 'MS Sans Serif';">5. </span><span lang="TH">การสูญเสียเนื่องจากสารพิษตกค้าง เมื่อเกษตรกรใช้สารเคมีในการเพาะปลูก เช่น ยาปราบศัตรูพืชจะทำให้เกิดการ</span><span style="font-family: 'MS Sans Serif';"><o:p></o:p></span></span></div>
<div class="MsoNormal" style="font-family: Tahoma; margin: 0cm 0cm 0.0001pt 36pt;">
<span style="background-color: white;"><span lang="TH">สะสมพิษในร่างกายทำให้บางชนิดถึงกับสูญพันธุ์ได้</span><span style="font-family: 'MS Sans Serif';"><o:p></o:p></span></span></div>
<div class="MsoNormal" style="font-family: Tahoma; margin: 0cm 0cm 0.0001pt 36pt;">
<span style="background-color: white;"><u><span lang="TH"><b><br /></b></span></u></span></div>
<div class="MsoNormal" style="font-family: Tahoma; margin: 0cm 0cm 0.0001pt 36pt;">
<span style="background-color: white;"><u><span lang="TH"><b>การอนุรักษ์สัตว์ป่า</b></span></u><u><span style="font-family: 'MS Sans Serif';"><o:p></o:p></span></u></span></div>
<div class="MsoNormal" style="font-family: Tahoma; margin: 0cm 0cm 0.0001pt 36pt;">
<span style="background-color: white;"><span lang="TH">สัตว์ป่ามีประโยชน์ต่อสิ่งแวดล้อมซึ่งรวมถึงคนเราด้วยทั้งโดยทางตรงและทางอ้อม จึงต้องมีวิธีการป้องกันและแก้ไข</span><span style="font-family: 'MS Sans Serif';"><o:p></o:p></span></span></div>
<div class="MsoNormal" style="font-family: Tahoma; margin: 0cm 0cm 0.0001pt 36pt;">
<span style="background-color: white;"><span lang="TH">ไม่ให้สัตว์ป่าลดจำนวนหรือสูญพันธุ์ด้วยการอนุรักษ์สัตว์ป่า ดังนี้</span><span style="font-family: 'MS Sans Serif';"><o:p></o:p></span></span></div>
<div class="MsoNormal" style="font-family: Tahoma; margin: 0cm 0cm 0.0001pt 36pt;">
<span style="background-color: white;"><span style="font-family: 'MS Sans Serif';">1. </span><span lang="TH">กำหนดกฎหมายและวิธีการปฏิบัติอย่างเคร่งครัด เพื่อให้ป่าเป็นแหล่งอาหารที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่า อาทิ เขตรักษา</span><span style="font-family: 'MS Sans Serif';"><o:p></o:p></span></span></div>
<div class="MsoNormal" style="font-family: Tahoma; margin: 0cm 0cm 0.0001pt 36pt;">
<span style="background-color: white;"><span lang="TH">พันธุ์สัตว์ป่า เขตห้ามล่าสัตว์ป่า เขตเพาะพันธุ์สัตว์ป่า ฯลฯ ให้มีมากเพียงพอ</span><span style="font-family: 'MS Sans Serif';"><o:p></o:p></span></span></div>
<div class="MsoNormal" style="font-family: Tahoma; margin: 0cm 0cm 0.0001pt 36pt;">
<span style="background-color: white;"><span style="font-family: 'MS Sans Serif';">2. </span><span lang="TH">การรณรงค์เผยแพร่ประชาสัมพันธ์ ให้เห็นความสำคัญในการอนุรักษ์สัตว์ป่าอย่างจริงจัง</span><span style="font-family: 'MS Sans Serif';"><o:p></o:p></span></span></div>
<div class="MsoNormal" style="font-family: Tahoma; margin: 0cm 0cm 0.0001pt 36pt;">
<span style="background-color: white;"><span style="font-family: 'MS Sans Serif';">3. </span><span lang="TH">การไม่ล่าสัตว์ป่า ไม่ควรมีการล่าสัตว์ป่าทุกชนิด ทั้งสัตว์ป่าสงวนสัตว์ป่าคุ้มครองเพราะปัจจุบันสัตว์ป่าทุกชนิดได้ลด</span><span style="font-family: 'MS Sans Serif';"><o:p></o:p></span></span></div>
<div class="MsoNormal" style="font-family: Tahoma; margin: 0cm 0cm 0.0001pt 36pt;">
<span style="background-color: white;"><span lang="TH">จำนวนลงอย่างมากทำให้ขาดความสมดุลทางธรรมชาติ</span><span style="font-family: 'MS Sans Serif';"><o:p></o:p></span></span></div>
<div class="MsoNormal" style="font-family: Tahoma; margin: 0cm 0cm 0.0001pt 36pt;">
<span style="background-color: white;"><span style="font-family: 'MS Sans Serif';">4. </span><span lang="TH">การป้องกันไฟป่า ไฟป่านอกจากจะทำให้ป่าไม้ถูกทำลายแล้วยังเป็นการทำลายแหล่งอาหารและที่อยู่อาศัยของสัตว์</span><span style="font-family: 'MS Sans Serif';"><o:p></o:p></span></span></div>
<div class="MsoNormal" style="font-family: Tahoma; margin: 0cm 0cm 0.0001pt 36pt;">
<span style="background-color: white;"><span lang="TH">ป่าด้วย</span><span style="font-family: 'MS Sans Serif';"><o:p></o:p></span></span></div>
<div class="MsoNormal" style="font-family: Tahoma; margin: 0cm 0cm 0.0001pt 36pt;">
<span style="background-color: white;"><span style="font-family: 'MS Sans Serif';">5. </span><span lang="TH">การปลูกฝังการให้ความรัก และเมตตาต่อสัตว์อย่างถูกวิธีสัตว์ป่าทุกชนิดมีความรักชีวิตเหมือนกับมนุษย์ การฆ่าสัตว์</span><span style="font-family: 'MS Sans Serif';"><o:p></o:p></span></span></div>
<div class="MsoNormal" style="font-family: Tahoma; margin: 0cm 0cm 0.0001pt 36pt;">
<span style="background-color: white;"><span lang="TH">ป่า การนำสัตว์ป่ามาเลี้ยงไว้ในบ้านเป็นการทรมานสัตว์ป่า ซึ่งมักไม่มีชีวิตรอด</span><span style="font-family: 'MS Sans Serif';"><o:p></o:p></span></span></div>
<div class="MsoNormal" style="font-family: Tahoma; margin: 0cm 0cm 0.0001pt 36pt;">
<span style="background-color: white;"><span style="font-family: 'MS Sans Serif';">6. </span><span lang="TH">การเพาะพันธุ์เพิ่มสัตว์ป่าที่กำลังจะสูญพันธุ์หรือมีจำนวนน้อยลง ควรมีการเพาะพันธุ์ขยายพันธุ์ให้มีจำนวนเพิ่มขึ้น</span><span style="font-family: 'MS Sans Serif';"><o:p></o:p></span></span></div>
<div class="MsoNormal" style="font-family: Tahoma; margin: 0cm 0cm 0.0001pt 36pt;">
</div>
<div style="text-align: center;">
<span style="font-family: 'MS Sans Serif';"><br /></span></div>Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/09618402395013393039noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7971081096527885097.post-76019776399129824582012-06-25T07:31:00.000-07:002012-06-25T07:31:10.203-07:00ประวัติดนตรีไทย<br />
<div style="text-align: left;">
<span class="style7"><span class="style8"><span style="font-family: AngsanaUPC; font-size: x-large;"><b> ประวัติดนตรีไทย</b></span></span></span></div>
<div align="left">
<span class="style7" style="font-family: AngsanaUPC;"><span class="style8" style="font-size: 24px;"> เป็นแบบอย่างมาจากอินเดียโบราณ ที่สันนิษฐานกันอย่างนี้คงเป็นเพราะ ในสมัยสุโขทัยเรา ได้รับ<span class="style9">อิทธิพล</span></span></span><span class="style9" style="font-family: AngsanaUPC; font-size: 24px;">ทางศาสนา ภาษา ศิลปะ วัฒนธรรมด้านนาฏศิลป์และการละครมาจากอินเดีย จึงเกิดความ เชื่อว่าเราคงได้รับอิทธิพล ทางดนตรีมาด้วย ทั้งนี้เพราะการศึกษาเรื่องราวของดนตรี เป็นการค้นหา หลักฐานสืบประวัติได้ยาก<br /> </span><span class="style9" style="font-family: AngsanaUPC; font-size: 24px;">ที่สุด เพราะดนตรี เป็นการเลียนเสียงธรรมชาติ จึงเป็นการยากที่จะใช้เครื่องมือต่างๆ บันทึกเสียง ดนตรีเหล่านั้นไว้เป็นหลักฐาน และใน สมัยก่อนยังไม่มีผู้ประดิษฐ์เครื่องบันทึกเสียงขึ้น นอกจากจะมีผู้จดจำ ทำนองเพลงต่างๆขึ้นแล้วยอมถ่ายทอดให้คนอื่น ได้ฟังเพลงนั้นบ้าง โดยเฉพาะ ดนตรีไทยเพิ่งมีการบันทึกเป็นโน๊ตตัวเลขเป็นครั้งแรก เมื่อสมัยรัชกาลที่ 6 นี้เองโดยการคิดขึ้นของหลวงประดิษฐ์ไพเราะในเรื่องของการถ่ายทอดเพลงถ้าไม่ใช่ศิษย์รักจริงๆ ครูก็ไม่ถ่ายทอดให้ ในที่สุดเพลงนั้นก็ตายไปกับครู เพลงที่เหลืออยู่ก็ มักไม่ปรากฏหลักฐานแน่<br /> ไทยมีดนตรีประจำชาติที่ประดิษฐ์ขึ้นใช้เองจากทรัพยากรธรรมชาติซึ่งมีอยู่อย่าง อุดมสมบูรณ์ในท้องถิ่น เช่นไม้ไผ่ ไม้ เขาสัตว์ หนังสัตว์ ฯลฯ เครื่องดนตรีดั้งเดิมของไทยมีชื่อเรียกตาม สำเนียงเสียง ของเครื่องดนตรี</span><span class="style9" style="font-family: AngsanaUPC; font-size: 24px;">นั้นๆ โดยบัญญัติคำที่มีลักษณะเป็นคำไทยคือ คำโดด เช่น เกราะ โกร่ง ฆ้อง กลอง กรับ ฉาบ ฉิ่ง ปี่ ขลุ่ย เพียะ </span><span class="style9" style="font-family: AngsanaUPC; font-size: 24px;">ซอ และแคน ต่อมามีการประดิษฐ์คิดเพิ่มเติมขึ้นเรื่อยๆ เช่นเอาไม้มาทำอย่างเดียวกับกรับ แล้วเอาวาง เรียงกันไปหลายๆ อันโดยทำให้มีเสียงสูงต่ำไล่กันไปตามลำดับ แล้วเอาเชือกมา ร้อยหัวท้ายของกรับให้ติดกันเป็นพืดขึงบนรางไม้ เราเรียกว่า "ระนาด" เป็นต้น<br /> เมื่อชนชาวไทยอพยพลงมาตั้งถิ่นฐานทางใต้ ได้มาพบเครื่องดนตรีของอินเดียซึ่งชนชาติมอญ เขมร รับไว้ก่อนจึงรับเอาดนตรีแบบอินเดียผสมกับแบบมอญ เขมร เข้ามาปะปนกับเครื่องดนตรีไทย ทำให้เกิดเครื่อง<br /> ดนตรีชนิดใหม่ขึ้นหลายอย่างเช่น พิณ สังข์ ปี่ไฉน บัณเฑาะว์ กระจับปี่ จะเข้ และโทน ทับ เป็นต้น ต่อมาเมื่อมีความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้านและประเทศตะวันตก ได้มีการนำเครื่องดนตรีของประเทศ เหล่านั้นมา<br /> </span><span class="style9" style="font-family: AngsanaUPC; font-size: 24px;">ผสมเล่นกับวงดนตรีของไทยด้วย เป็นการผสมกลมกลืนความแปลกใหม่เพิ่มรสชาติเพิ่มขึ้นอีก เช่น กลองแขก แงชวา กลองแขกของมลายู เปิงมางของมอญ กลอง ไวโอลิน ออร์แกน และเปียโน เป็นต้น</span></div>
<div align="left" class="style3" style="font-family: FreesiaUPC; font-size: 24px;">
<br /></div>Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/09618402395013393039noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7971081096527885097.post-63137026233788441272012-06-25T07:21:00.002-07:002012-06-26T05:26:20.365-07:00ประวัติสุนทรภู่<br />
<div align="center" style="font-family: Tahoma; font-size: 16px; padding: 0px;">
<span style="background-color: white;"><br /></span></div>
<div align="center" style="font-family: Tahoma; font-size: 16px; padding: 0px;">
<span style="background-color: white;"><br /></span></div>
<div align="center" style="font-family: Tahoma; padding: 0px;">
<span style="background-color: white;"><span style="font-size: x-large;"><b>ประวัติสุนทรภู่</b></span><br /><img alt="สุนทรภู่" border="0" class="img-mobile" height="375" src="http://hilight.kapook.com/img_cms2/varity_2/sunthornpoo_01.jpg" style="height: 375px; width: 500px;" width="500" /><br /><b style="font-size: 16px;">สุนทรภู่</b></span></div>
<div style="font-family: Tahoma; font-size: 16px; padding: 0px;">
<span style="background-color: white;"><br /> <br /><b>ชีวประวัติ "</b><b>สุนทรภู่"</b><b><br /></b><strong><br /></strong> สุนทรภู่ กวีสำคัญสมัยต้นรัตนโกสินทร์ เกิดวันจันทร์ เดือน 8 ขึ้น 1 ค่ำ ปีมะเมีย จุลศักราช 1148 เวลา 2 โมงเช้า หรือตรงกับวันที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2329 เวลา 8.00 น. นั่นเอง ซึ่งตรงกับสมัยรัชกาลที่ 1 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ณ บริเวณด้านเหนือของพระราชวังหลัง (บริเวณสถานีรถไฟบางกอกน้อยปัจจุบัน) บิดาของท่านเป็นชาวกร่ำ อำเภอแกลง จังหวัดระยอง ชื่อพ่อพลับ ส่วนมารดาเป็นชาวเมืองฉะเชิงเทรา ชื่อแม่ช้อย สันนิษฐานว่ามารดาเป็นข้าหลวงอยู่ในพระราชวังหลัง เชื่อว่าหลังจากสุนทรภู่เกิดได้ไม่นาน บิดามารดาก็หย่าร้างกัน บิดาออกไปบวชอยู่ที่วัดป่ากร่ำ ตำบลบ้านกร่ำ อำเภอแกลง อันเป็นภูมิลำเนาเดิม ส่วนมารดาได้เข้าไปอยู่ในพระราชวังหลัง ถวายตัวเป็นนางนมของพระองค์เจ้าหญิงจงกล พระธิดาในเจ้าฟ้ากรมหลวงอนุรักษ์เทเวศร์ ดังนั้น สุนทรภู่จึงได้อยู่ในพระราชวังหลังกับมารดา และได้ถวายตัวเป็นข้าในกรมพระราชวังหลัง ซึ่งสุนทรภู่ยังมีน้องสาวต่างบิดาอีกสองคน ชื่อฉิมและนิ่ม อีกด้วย<br /><br /> "สุนทรภู่" ได้รับการศึกษาในพระราชวังหลังและที่วัดชีปะขาว (วัดศรีสุดาราม) ต่อมาได้เข้ารับราชการเป็นเสมียนนายระวางกรมพระคลังสวน ในกรมพระคลังสวน แต่ไม่ชอบทำงานอื่นนอกจากแต่งบทกลอน ซึ่งสามารถแต่งได้ดีตั้งแต่ยังรุ่นหนุ่ม เพราะตั้งแต่เยาว์วัยสุนทรภู่มีนิสัยรักแต่งกลอนยิ่งกว่างานอื่น ครั้งรุ่นหนุ่มก็ไปเป็นครูสอนหนังสืออยู่ที่วัดศรีสุดารามในคลองบางกอกน้อย ได้แต่งกลอนสุภาษิตและกลอนนิทานขึ้นไว้ เมื่ออายุราว 20 ปี<br /><br /> ต่อมาสุนทรภู่ลอบรักกับนางข้าหลวงในวังหลังคนหนึ่ง ชื่อแม่จัน ซึ่งเป็นบุตรหลานผู้มีตระกูล จึงถูกกรมพระราชวังหลังกริ้วจนถึงให้โบยและจำคุกคนทั้งสอง แต่เมื่อกรมพระราชวังหลังเสด็จทิวงคตในปี พ.ศ. 2349 จึงมีการอภัยโทษแก่ผู้ถูกลงโทษทั้งหมดถวายเป็นพระราชกุศล หลังจากสุนทรภู่ออกจากคุก เขากับแม่จันก็เดินทางไปหาบิดาที่ อำเภอแกลง จังหวัดระยอง และมีบุตรด้วยกัน 1 คน ชื่อ “พ่อพัด” ได้อยู่ในความอุปการะของเจ้าครอกทองอยู่ ส่วนสุนทรภู่กับแม่จันก็มีเรื่องระหองระแหงกันเสมอ จนภายหลังก็เลิกรากันไป<br /><br /> หลังจากนั้น สุนทรภู่ ก็เดินทางเข้าพระราชวังหลัง และมีโอกาสได้ติดตามพระองค์เจ้าปฐมวงศ์ในฐานะมหาดเล็ก ตามเสด็จไปในงานพิธีมาฆบูชา ที่อำเภอพระพุทธบาท จังหวัดสระบุรี เมื่อปี พ.ศ. 2350 และเขาก็ได้แต่ง “นิราศพระบาท” พรรณนาเหตุการณ์ในการเดินทางคราวนี้ด้วย และหลังจาก “นิราศพระบาท” ก็ไม่ปรากฏผลงานใดๆ ของสุนทรภู่อีกเลย<br /><br /> จนกระทั่งเข้ารับราชการในปี พ.ศ. 2359 ในรัชสมัยรัชกาลที่ 2 สุนทรภู่ได้เข้ารับราชการในกรมพระอาลักษณ์ และเป็นที่โปรดปรานของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย จนแต่งตั้งให้เป็นกวีที่ปรึกษาและคอยรับใช้ใกล้ชิด เนื่องจากเมื่อครั้งที่พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยทรงแต่งกลอนบทละครในเรื่อง <strong>"รามเกียรติ์" ติดขัดไม่มีผู้ใดต่อกลอนได้ต้องพระราชหฤทัย จึงโปรดให้สุนทรภู่ทดลองแต่ง ปรากฏว่าแต่งได้ดีเป็นที่พอพระทัย จึงทรงพระกรุณาฯ เลื่อนให้เป็น "ขุนสุนทรโวหาร"</strong><br /><br /> ต่อมาในราว พ.ศ. 2364 สุนทรภู่ต้องติดคุกเพราะเมาสุราอาละวาดและทำร้ายท่านผู้ใหญ่ แต่ติดอยู่ไมนานก็พ้นโทษ เนื่องจากพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยทรงติดขัดบทพระราชนิพนธ์เรื่อง<strong> "สังข์ทอง"</strong> ไม่มีใครแต่งได้ต้องพระทัย ทรงให้สุนทรภู่ทดลองแต่งก็เป็นที่พอพระราชหฤทัยภายหลังพ้นโทษ สุนทรภู่ได้เป็นพระอาจารย์ถวายอักษรสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าอาภรณ์ พระราชโอรสในรัชกาลที่ 2 และ เชื่อกันว่าสุนทรภู่แต่งเรื่อง "สวัสดิรักษา" ในระหว่างเวลานี้ ซึ่งในระหว่างรับราชการอยู่นี้ สุนทรภู่แต่งงานใหม่กับแม่นิ่ม มีบุตรด้วยกันหนึ่งคน<strong> ชื่อ "พ่อตาบ</strong><br /> "สุนทรภู่" รับราชการอยู่เพียง 8 ปี เมื่อถึงปี พ.ศ. 2367 พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยเสด็จสวรรคต หลังจากนั้นสุนทรภู่ก็ออกบวชที่วัดราชบูรณะ (วัดเลียบ) อยู่เป็นเวลา 18 ปี ระหว่างนั้นได้ย้ายไปอยู่วัดต่างๆ หลายแห่ง ได้แก่ วัดเลียบ, วัดแจ้ง, วัดโพธิ์, วัดมหาธาตุ และวัดเทพธิดาราม ซึ่งผลจากการที่ภิกษุภู่เดินทางธุดงค์ไปที่ต่างๆ ทั่วประเทศ ปรากฏผลงานเป็นนิราศเรื่องต่างๆ มากมาย งานเขียนชิ้นสุดท้ายที่ภิกษุภู่แต่งไว้ก่อนลาสิกขาบท คือ รำพันพิลาป โดยแต่งขณะจำพรรษาอยู่ที่วัดเทพธิดาราม พ.ศ. 2385 ทั้งนี้ ระหว่างที่ออกเดินทางธุดงค์ ภิกษุภู่ได้รับการอุปการะจากพระองค์เจ้าลักขณานุคุณจนพระองค์ประชวรสิ้นพระชมน์ สุนทรภู่จึงลาสิกขาบท รวมอายุพรรษาที่บวชได้ประมาณ 10 พรรษา สุนทรภู่ออกมาตกระกำลำบากอยู่พักหนึ่งจึงกลับเข้าไปบวชอีกครั้งหนึ่ง <strong>แต่อยู่ได้เพียง 2 พรรษา ก็ลาสิกขาบท และถวายตัวอยู่กับเจ้าฟ้าน้อย หรือสมเด็จเจ้าฟ้าจุฑามณี กรมขุนอิศเรศรังสรรค์ พระราชวังเดิม รวมทั้งได้รับอุปการะจากกรมหมื่นอัปสรสุดาเทพอีกด้วย </strong><br /> ในสมัยรัชกาลที่ 4 เมื่อพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ครองราชย์ ทรงสถาปนาเจ้าฟ้า กรมขุนอิศเรศรังสรรค์ เป็นพระบาทสมเด็จพระปิ่นกล้าเจ้าอยู่หัว ประทับอยู่วังหน้า (พระบวรราชวัง) สุนทรภู่จึงได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็น <strong>"พระสุนทรโวหาร"</strong> ตำแหน่งเจ้ากรมพระอาลักษณ์ฝ่ายบวรราชวังในปี พ.ศ. 2394 และรับราชการต่อมาได้ 4 ปี ก็ถึงแก่มรณกรรมใน พ.ศ. 2398 รวมอายุได้ 70 ปี ในเขตพระราชวังเดิม ใกล้หอนั่งของพระยามนเทียรบาล (บัว) ที่เรียกชื่อกันว่า<strong> "ห้องสุนทรภู่"</strong><br /><br /> สำหรับทายาทของสุนทรภู่นั้น เชื่อกันว่าสุนทรภู่มีบุตรชาย 3 คน คือ"พ่อพัด" เกิดจากภรรยาคนแรกคือแม่จัน "พ่อตาบ" เกิดจากภรรยาคนที่สองคือแม่นิ่ม และ "พ่อนิล" เกิดจากภรรยาที่ชื่อแม่ม่วง นอกจากนี้ ปรากฏชื่อบุตรบุญธรรมอีกสองคน ชื่อ "พ่อกลั่น" และ "พ่อชุบ" <strong>อย่างไรก็ตาม ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 6) ทรงตราพระราชบัญญัตินามสกุลขึ้น และตระกูลของสุนทรภู่ได้ใช้นามสกุลต่อมาว่า "ภู่เรือหงส์"<br /></strong></span></div>
<div style="font-family: Tahoma; font-size: 16px; padding: 0px;">
<span style="background-color: white;"><strong>ผลงานของสุนทรภู่</strong> หนังสือบทกลอนของสุนทรภู่มีอยู่มาก เท่าที่ปรากฏเรื่องที่ยังมีฉบับอยู่ในปัจจุบันนี้คือ…<br /><br /><strong>ประเภทนิราศ </strong><br /> - <span style="font-weight: bold;">นิราศเมืองแกลง</span> (พ.ศ. 2349) - แต่งเมื่อหลังพ้นโทษจากคุก และเดินทางไปหาพ่อที่เมืองแกลง<br /><br /> - <span style="font-weight: bold;">นิราศพระบาท</span> (พ.ศ. 2350) - แต่งหลังจากกลับจากเมืองแกลง และต้องตามเสด็จพระองค์เจ้าปฐมวงศ์ไปนมัสการรอยพระพุทธบาทที่จังหวัดสระบุรีในวันมาฆบูชา<br /><br /> - <span style="font-weight: bold;"><a href="http://hilight.kapook.com/view/72381" style="text-decoration: none;" target="_blank">นิราศภูเขาทอง</a></span> (ประมาณ พ.ศ. 2371) - แต่งโดยสมมุติว่า เณรหนูพัด เป็นผู้แต่งไปนมัสการพระเจดีย์ภูเขาทองที่จังหวัดอยุธยา<br /><br /> - <span style="font-weight: bold;">นิราศสุพรรณ</span> (ประมาณ พ.ศ. 2374) - แต่งเมื่อครั้งยังบวชอยู่ และไปค้นหายาอายุวัฒนะที่จังหวัดสุพรรณบุรี เป็นผลงานเรื่องเดียวของสุนทรภู่ที่แต่งเป็นโคลง<br /><br /> - <span style="font-weight: bold;">นิราศวัดเจ้าฟ้า</span> (ประมาณ พ.ศ. 2375) - แต่งเมื่อครั้งยังบวชอยู่ และไปค้นหายาอายุวัฒนะตามลายแทงที่วัดเจ้าฟ้าอากาศ (ไม่ปรากฏว่าที่จริงคือวัดใด) ที่จังหวัดอยุธยา<br /><br /> - <span style="font-weight: bold;">นิราศอิเหนา</span> (ไม่ปรากฏ, คาดว่าเป็นสมัยรัชกาลที่ 3) แต่งเป็นเนื้อเรื่องอิเหนารำพันถึงนางบุษบา<br /><br /> - <span style="font-weight: bold;">รำพันพิลาป</span> (พ.ศ. 2385) - แต่งเมื่อครั้งจำพรรษาอยู่ที่วัดเทพธิดาราม แล้วเกิดฝันร้ายว่าชะตาขาด จึงบันทึกความฝันพร้อมรำพันความอาภัพของตัวไว้เป็น "รำพันพิลาป" จากนั้นจึงลาสิกขาบท<br /><br /> - <span style="font-weight: bold;">นิราศพระประธม</span> (พ.ศ. 2385) –เชื่อว่าแต่งเมื่อหลังจากลาสิกขาบทและเข้ารับราชการในพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ไปนมัสการพระประธมเจดีย์ (หรือพระปฐมเจดีย์) ที่เมืองนครชัยศรี<br /><br /> - <span style="font-weight: bold;">นิราศเมืองเพชร</span> (พ.ศ. 2388) - แต่งเมื่อเข้ารับราชการในพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว เชื่อว่าไปธุระราชการอย่างใดอย่างหนึ่ง นิราศเรื่องนี้มีฉบับค้นพบเนื้อหาเพิ่มเติมซึ่ง อ.ล้อม เพ็งแก้ว เชื่อว่า บรรพบุรุษฝ่ายมารดาของสุนทรภู่เป็นชาวเมืองเพชร<br /><br /><strong>ประเภทนิทาน</strong> <span style="font-weight: bold;">เรื่องโคบุตร, เรื่องพระอภัยมณี, เรื่องพระไชยสุริยา, เรื่องลักษณวงศ์, เรื่องสิงหไกรภพ</span><br /></span></div>
<div style="font-family: Tahoma; font-size: 16px; text-align: center;">
<span style="background-color: white;"><img alt="พระอภัยมณี" border="0" class="img-mobile" height="375" src="http://hilight.kapook.com/img_cms2/varity_2/praapai.jpg" style="height: 375px; width: 500px;" width="500" /><br />พระอภัยมณี<br /><br /><img alt="สุดสาคร" border="0" class="img-mobile" height="375" src="http://hilight.kapook.com/img_cms2/varity_2/sudsakorn.jpg" style="height: 375px; width: 500px;" width="500" /><br />สุดสาคร</span></div>
<div style="font-family: Tahoma; font-size: 16px; padding: 0px;">
<span style="background-color: white;"><br /><strong>ประเภทสุภาษิต</strong> - <span style="font-weight: bold;">สวัสดิรักษา</span>- คาดว่าประพันธ์ในสมัยรัชกาลที่ 2 ขณะเป็นพระอาจารย์ถวายอักษรแด่เจ้าฟ้าอาภรณ์<br /><br /> - <span style="font-weight: bold;">สุภาษิตสอนหญิง</span> - เป็นหนึ่งในผลงานซึ่งยังเป็นที่เคลือบแคลงว่า สุนทรภู่เป็นผู้ประพันธ์จริงหรือไม่<br /><br /> - <span style="font-weight: bold;">เพลงยาวถวายโอวาท</span> - คาดว่าประพันธ์ในสมัยรัชกาลที่ 3 ขณะเป็นพระอาจารย์ถวายอักษรแด่เจ้าฟ้ากลางและเจ้าฟ้าปิ๋ว<br /><br /><strong>ประเภทบทละคร</strong> - <span style="font-weight: bold;">เรื่องอภัยณุรา</span> ซึ่งเขียนขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 4 เพื่อถวายพระองค์เจ้าดวงประภา พระธิดาในพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว<br /><br /><strong>ประเภทบทเสภา</strong><span style="font-weight: bold;"> - เรื่องขุนช้างขุนแผน (ตอนกำเนิดพลายงาม)</span><br style="font-weight: bold;" /><br style="font-weight: bold;" /><span style="font-weight: bold;"> - เรื่องพระราชพงศาวดาร</span><br /><br /><strong>ประเภทบทเห่กล่อม</strong><br /><br /> แต่งขึ้นสำหรับใช้ขับกล่อมหม่อมเจ้าในพระองค์เจ้าลักขณานุคุณ กับพระเจ้าลูกยาเธอในพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว เท่าที่พบมี 4 เรื่องคือ เห่จับระบำ, เห่เรื่องพระอภัยมณี, เห่เรื่องโคบุตร เห่เรื่องพระอภัยมณี, เห่เรื่องกากี<br /><br /><br /><span style="font-weight: bold;">ตัวอย่างวรรคทองที่มีชื่อเสียงของสุนทรภู่</span><br /><br /> ด้วยความที่สุนทรภู่เป็นศิลปินเอกที่มีผลงานทางวรรณกรรม วรรณคดีมากมาย ทำให้ผลงานหลาย ๆ เรื่องของ สุนทรภู่ ถูกนำไปเป็นบทเรียนให้เด็กไทยได้ศึกษา จึงทำให้มีหลาย ๆ บทประพันธ์ที่คุ้นหู หรือ <span style="font-weight: bold;">"วรรคทอง"</span> ยกตัวอย่างเช่น<br /><br /><span style="font-weight: bold;"><br /></span></span></div>
<div style="font-family: Tahoma; font-size: 16px; padding: 0px;">
<span style="background-color: white;"><span style="font-weight: bold;"> บางตอนจาก <a href="http://hilight.kapook.com/view/72381" style="text-decoration: none;" target="_blank">นิราศภูเขาทอง</a></span></span></div>
<div style="font-family: Tahoma; font-size: 16px; text-align: center;">
<span style="background-color: white;"><br />ถึงโรงเหล้าเตากลั่นควันโขมง<br />มีคันโพงผูกสายไว้ปลายเสา<br />โอ้บาปกรรมน้ำนรกเจียวอกเรา<br />ให้มัวเมาเหมือนหนึ่งบ้าเป็นน่าอาย<br /><br />ทำบุญบวชกรวดน้ำขอสำเร็จ<br />สรรเพชญโพธิญาณประมาณหมาย<br />ถึงสุราพารอดไม่วอดวาย<br />ไม่ใกล้กรายแกล้งเมินก็เกินไป<br /><br />ไม่เมาเหล้าแล้วแต่เรายังเมารัก<br />สุดจะหักห้ามจิตคิดไฉน<br />ถึงเมาเหล้าเช้าสายก็หายไป<br />แต่เมาใจนี้ประจำทุกค่ำคืนฯ</span></div>Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/09618402395013393039noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7971081096527885097.post-16028597177415001452012-06-25T07:19:00.001-07:002012-06-25T07:19:09.396-07:00ประวัติวาเลนไทน์<br />
<div style="font-family: 'MS Sans Serif', Tahoma, sans-serif; text-align: center;">
<span style="font-size: x-large;"><b>ประวัติวาเลนไทน์</b></span>
</div>
<div style="font-family: 'MS Sans Serif', Tahoma, sans-serif;">
<span style="background-color: white; color: black;"><br /></span></div>
<div style="font-family: 'MS Sans Serif', Tahoma, sans-serif;">
<span style="background-color: white; color: black;"> กุมภาพันธ์เป็นเดือนที่อบอวลไปด้วยความสุขการแสดงถึงความรัก ความห่วงใยถึงคนที่ เราปรารถนาดีและ<br />อยากให้เขามีความสุข และเป็นที่รับรู้กันทั่วโลกว่าวันที่ 14 กุมภาพันธ์ เป็นวันแห่งความรักหรือ Valentine’s Day และวันนี้ยังมีคิวปิด หรือกามเทพ ซึ่งถือเป็นสัญลักษณ์ของ วันวาเลนไทน์ที่มีชื่อเสียงมากที่สุด คิวปิดเป็นบุตรของวีนัสและมาร์ส แต่ ชาวกรีกเรียกคิวปิดว่า อีรอส ภาพของ คิวปิดที่มนุษย์โลกปัจจุบันได้รู้จัก<br />ก็คือภาพเด็กน้อยที่ถือคันธนูและลูกศร มีหน้าที่ยิงศรรักให้ปักใจคน ปัจจุบัน คิวปิดและธนูของเขากลายมาเป็น เครื่องหมายแห่งความรักที่เป็นที่รู้จัก มากที่สุด และความรักของเขามีกล่าวถึงบ่อยในภาพของ การยิงศรรัก ระหว่าง หัวใจสองดวงให้รักกัน เรียกกันว่า ศรรักคิวปิด เราจึงมาเล่าสู่กันฟังเกี่ยว กับประวัติความเป็นมาและความสำคัญ ของวันนี้กันค่ะ</span></div>
<div style="font-family: 'MS Sans Serif', Tahoma, sans-serif;">
<span style="background-color: white; color: black;">เทศกาลวาเลนไทน์ เริ่มมีขึ้น ตั้งแต่ยุคที่จักรวรรดิโรมันเรืองอำนาจ ในยุคนั้น วันที่ 14 กุมภาพันธ์ของทุกปี ถูกจัดให้เป็นวันหยุดเพื่อเป็นเกียรติแต่เทพเจ้าจูโนผู้เป็น จักรพรรดินีแห่งเทพเจ้าโรมัน นอกจาก นี้แล้วพระองค์ยังทรงเป็นเทพเจ้าแห่ง อิสตรีเพศและการแต่งงานและในวันที่ 15 กุมภาพันธ์ เป็นวันเริ่มต้นเทศกาล เฉลิมฉลองแห่งลูเพอร์คาร์เลีย การ ดำเนินชีวิตของหนุ่มสาวจะ ถูกตัดขาดออกจากกันอย่างสิ้นเชิง ในรัชสมัยของ จักรพรรดิคลอดิอัส ที่ 2 (Emperor Claudius II) แห่ง กรุงโรม พระองค์ ทรงเป็นกษัตริย์ที่มี ใจคอดุร้ายและทรงนิยม การ ทำสงครามนองเลือด ได้ทรงตระหนักว่าเหตุที่ ชายหนุ่มส่วนมากไม่ประสงค์จะเข้าร่วม ในกองทัพเนื่องจากไม่อยากจากคู่รัก และครอบครัวไป จึงทรงมีพระราชโอง การสั่งห้ามมิให้มีการจัดพิธีหมั้นและ แต่งงานกันในโรมโดยเด็ดขาด ทำให้ ประชาชนทุกข์ใจเป็นอย่างยิ่ง และขณะนั้น มีนักบุญรูปหนึ่งนามว่า เซนต์วาเลนไทน์ หรือวาเลนตินัส ซึ่งอาศัยอยู่ในโรมได้ ร่วมมือกับเซนต์มาริอัสจัดพิธีแต่งงานให้กับ ชาวคริสต์หลายคู่ และด้วยความปรารถนา ดีนี้เองจึงทำให้วาเลนไทน์ถูกจับและระ หว่างนี้ก็ยังคงส่งคำอวยพรวาเลนไทน์ ของเขาเองขณะที่เขาเป็นนักโทษ เป็น ความเชื่อว่าวาเลนไทน์ได้ตกหลุมรักหญิง สาวที่เป็นลูกสาวของผู้คุมที่ชื่อจูเลีย ซึ่งได้มาเยี่ยมเขาระหว่างที่ถูกคุมขัง ในคืนก่อนที่วาเลนไทน์จะสิ้นชีวิตโดยการถูกตัดศีรษะ เขาได้ส่งจดหมายฉบับ สุดท้ายถึงจูเลีย โดยลงท้ายว่า “From Your Valentine”<br />.<br /> วันที่ 14 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 270 หลังจากนั้นศพของเขาได้ถูก เก็บไว้ที่โบสถ์ พราซีเดส (Praxedes) ณ กรุงโรม จูเลียได้ปลูกต้นอามันต์ หรืออัลมอลต์สีชมพู ไว้ใกล้หลุม ศพของวาเลนตินัส แด่ผู้เป็น ที่รักของเธอ โดยในทุกวันนี้ ต้นอามันต์สีชมพูได้เป็นตัวแทน แห่งรักนิรันดรและมิตรภาพ อันสวยงาม และคำนี้ก็เป็นคำที่ใช้มา จนถึงปัจจุบัน ถึงแม้ว่าเบื้อง หลังความเป็นจริงของวาเลนไทน์จะ เป็นตำนานที่มืดมัว แต่เรื่องราวยังคง แสดงให้เห็นถึงความรู้สึกสงสาร ความ กล้าหาญและที่สำคัญที่สุดเป็นเครื่องหมายของความโรแมนติค จึงไม่น่าประหลาดใจ เลยว่าในช่วงยุคกลางวาเลนไทน์เป็นนักบุญ ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในอังกฤษและฝรั่งเศส ต่อมาพระในนิกายโรมันคาทอลิกจึงเลือกให้ วันที่ 14 กุมภาพันธ์ เป็นวันเฉลิมฉลอง เทศกาลแห่งความรักและดูเหมือนว่ายัง คงเป็นธรรมเนียมที่ชายหนุ่มจะเลือก หญิงสาวที่ตนเองพึงใจในวันวาเลนไทน์ สืบต่อกันมาจนถึงทุกวันนี้</span></div>
<table align="right" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" style="color: black; font-family: 'MS Sans Serif', Tahoma, sans-serif; width: 361px;"><tbody>
<tr><td><span style="background-color: white; color: black;">วาเลนไทน์ ในแต่ละประเทศจะมีประเพณีหรือการ ปฏิบัติที่แตกต่างกันบ้าง แต่โดยรวมแล้ว จะมีการเฉลิมฉลองและเป็นการแสดงถึง ความรัก<br />ที่มีระหว่างกัน ต่อมาเมื่อความเจริญก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยีทางด้าน การพิมพ์เข้ามาเกี่ยวข้องมีการพิมพ์บัตร อวยพรโดยเข้ามาแทนที่จดหมายที่เขียนด้วยลายมือ และปัจจุบันก็มีการส่งบัตรอวยพรทางออนไลน์เพื่อ<br />แสดงถึงความก้าวหน้าของเทคโนโลยีสารสนเทศที่ช่วย ให้คนที่ต้องการ<br />แสดงความรักความห่วงใย ถึงคนที่รักได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น ประวัติ วันวาเลนไทน์นี้ เป็นเรื่องที่เล่าต่อๆกันมา จนถึงปัจจุบัน เท่าที่ค้นหามาได้นี้เป็นเพียง หนึ่งในหลายๆเรื่องเท่านั้น แต่ไม่ว่าประวัติ ที่แท้จริง จะเป็นอย่างไรก็ตาม ใน ปัจจุบัน นี้เราได้ถือว่าวันวาเลนไทน์เป็น วันสำคัญวันหนึ่งในประวัติศาสตร์เลยที เดียว คุณสามารถส่งดอกไม้ ขนมและ การ์ด เพื่อบอกความนัยให้แก่คนพิเศษ ของคุณ วันนี้จะเป็นวันที่เราส่งความรู้สึก ดีๆให้แก่กัน...</span></td></tr>
</tbody></table>Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/09618402395013393039noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7971081096527885097.post-47603739352068619622012-06-25T07:16:00.000-07:002012-06-25T07:16:18.834-07:0010 อันดับ อาหารต้านมะเร็ง<br />
<div align="center" class="MsoTitle" style="font-family: Tahoma;">
<span lang="TH" style="font-family: 'Angsana New';"><span style="font-size: x-large;"><b>10 อันดับ อาหารต้านมะเร็ง</b></span></span></div>
<div class="MsoNormal" style="font-family: Tahoma;">
<span style="font-size: large;"><span lang="TH" style="font-family: 'Angsana New';"> </span><span lang="TH" style="font-family: 'Angsana New';"> </span><span style="font-family: 'Angsana New';"> </span><span lang="TH" style="font-family: 'Angsana New';"> </span><span lang="TH" style="font-family: 'Angsana New';"> </span><span style="font-family: 'Angsana New';"> </span><span lang="TH" style="font-family: 'Angsana New';"> </span><span style="font-family: 'Angsana New';"> </span><span lang="TH" style="font-family: 'Angsana New';"> </span><span lang="TH" style="font-family: 'Angsana New';"> </span><span style="font-family: 'Angsana New';"> </span><span lang="TH" style="font-family: 'Angsana New';"> </span></span></div>
<div class="MsoBodyTextIndent" style="font-family: Tahoma; margin-left: 18pt; text-indent: 0cm;">
<span lang="TH" style="font-family: 'Angsana New';"><span style="font-size: large;">1. <b>ผัก</b>มีกากใยปริมาณมาก ซึ่งผักที่อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระและสารต้านมะเร็ง </span></span></div>
<div class="MsoNormal" style="font-family: Tahoma; margin-left: 72pt; text-align: justify; text-indent: -18pt;">
<span style="font-size: large;"><span style="font-family: Wingdings;">v<span style="font-family: 'Times New Roman';"> </span></span><span lang="TH" style="font-family: 'Angsana New';">กลุ่มผักมีสี เช่น บีทรูท ผักโขม แครอท มะเขือเทศ ยิ่งมีสีเข้มมมากเท่าไหร่ นั่นหมายถึงว่ามีสารที่มีประโยชน์ (</span><span style="font-family: 'Angsana New';">phytochemical<span lang="TH">) มากขึ้นเท่านั้น</span></span><span lang="TH" style="font-family: 'Angsana New';"> รงควัตถุเหล่านี้ได้แก่ ไบโอฟลาวินอยด์ 20</span>,<span lang="TH" style="font-family: 'Angsana New';">000 ชนิด และแคโรทีนอยด์ 800 ชนิด ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยปกป้องร่างกายและยังช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกันในการทำลายเซลล์มะเร็ง</span></span></div>
<div class="MsoNormal" style="font-family: Tahoma; margin-left: 72pt; text-align: justify; text-indent: -18pt;">
<span style="font-size: large;"><span style="font-family: Wingdings;">v<span style="font-family: 'Times New Roman';"> </span></span><span lang="TH" style="font-family: 'Angsana New';">กลุ่มกะหล่ำ เช่น กะหล่ำปลี บร็อคโคลี กะหล่ำดอก ในผักชนิดนี้จะมีสารต้านมะเร็ง สารที่ช่วยขจัดสารพิษ ตลอดจน อินดอล-3-คาร์บินอลและซัลโฟราเฟน</span></span></div>
<div class="MsoNormal" style="font-family: Tahoma; margin-left: 72pt; text-align: justify; text-indent: -18pt;">
<span style="font-size: large;"><span style="font-family: Wingdings;">v<span style="font-family: 'Times New Roman';"> </span></span><span lang="TH" style="font-family: 'Angsana New';">หัวหอม</span>&<span lang="TH" style="font-family: 'Angsana New';">กระเทียม </span>–<span lang="TH" style="font-family: 'Angsana New';"> ประกอบด้วยไบโอฟลาวินอยด์หลายชนิดด้วยกัน หนึ่งในนั้นได้แก่ เคอร์ซิทิน ซึ่งสามารถเปลี่ยนเซลล์มะเร็งให้เป็นเซลล์ปกติได้ นอกจากนี้ยังมีสารต้านมะเร็งอื่นๆ ได้แก่ อัลลิซิน </span>, <span lang="TH" style="font-family: 'Angsana New';">เอส-อัลลิล ซิสทีอิน</span>, <span lang="TH" style="font-family: 'Angsana New';">ซีลีเนียม</span><span lang="TH"> </span><span lang="TH" style="font-family: 'Angsana New';">และสารที่เรายังไม่รู้จักอีกมากมาย ดังนั้นจึงเป็นเรื่องดี ที่เราจะรับประทานกระเทียมและหัวหอม เป็นประจำ</span></span></div>
<div class="MsoNormal" style="font-family: Tahoma; margin-left: 36pt; text-align: justify; text-indent: -18pt;">
<span style="font-size: large;"><span style="font-family: 'Angsana New';">2.</span><span lang="TH" style="font-family: 'Angsana New';"><b>ปลาน้ำเย็น</b> เช่น แซลมอน คอท แมคเคอเรล ซาร์ดีน ทูน่าและปลาจากทะเลน้ำลึก ในปลา เหล่านี้จะอุดมไปด้วยไขมันที่มีฤทธิ์ต้านมะเร็ง ได้แก่ </span><span style="font-family: 'Angsana New';">EPA</span> <span lang="TH" style="font-family: 'Angsana New';">(</span><span style="font-family: 'Angsana New';">eicosapentaenoic acid<span lang="TH">) และ </span>DHA <span lang="TH">(</span> docosahexaenoic acid<span lang="TH">) ซึ่งชะลอการแพร่ของมะเร็ง กระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน และยังประกอบด้วยแร่ธาตุต่างๆที่พบในน้ำทะเล แต่ไม่พบในดิน</span></span></span></div>
<div class="MsoNormal" style="font-family: Tahoma; margin-left: 36pt; text-align: justify; text-indent: -18pt;">
<span style="font-size: large;"><span style="font-family: 'Angsana New';">3.</span><span lang="TH" style="font-family: 'Angsana New';"><b>ถั่ว</b> เช่น ถั่วเขียว ถั่วเหลือง ถั่วดำ ถั่วแดง ถั่วลิสง ในถั่วเหล่านี้พบว่ามีสารต้านโปรตีเอสในปริมาณสูง(มีฤทธิ์ต้านมะเร็ง) นอกจากนี้ยังพบว่ามีอินโนซิทอล เฮกซาฟอสเฟต(กรดไฟตริก ซึ่งในท้องตลาด จะขายในรูปของ </span><span style="font-family: 'Angsana New';">IP-6</span><span lang="TH" style="font-family: 'Angsana New';">) และจีเนสเตอิน (ทำให้เส้นเลือดที่ไปเลี้ยงเซลล์มะเร็งตีบลง) นอกจากนี้ในถั่วยังอุดมไปด้วยกากใยที่สามารถละลายน้ำได้ ซึ่งจะช่วยในขบวนการทำความสะอาดของร่างกายตามธรรมชาติ</span></span></div>
<div class="MsoNormal" style="font-family: Tahoma; margin-left: 36pt; text-align: justify; text-indent: -18pt;">
<span style="font-size: large;"><span style="font-family: 'Angsana New';">4.<span style="font-family: 'Times New Roman';"> </span></span><span lang="TH" style="font-family: 'Angsana New';"><b>เมล็ดธัญพืช </b>เช่นข้าว โอ๊ต บาร์เลย์ ข้าวโพด ข้าวสาลี เนื่องจากเมื่อกากใยของพืชเหล่านี้แตกตัวที่ลำไส้จะเปลี่ยนเป็นกรดบิวไทริกที่มีฤทธิ์ต้านมะเร็ง</span></span></div>
<div class="MsoNormal" style="font-family: Tahoma; margin-left: 36pt; text-align: justify; text-indent: -18pt;">
<span style="font-size: large;"><span style="font-family: 'Angsana New';">5.</span><span lang="TH" style="font-family: 'Angsana New';"><b>สาหร่ายทะเล </b> จะประกอบด้วยสารบางชนิดที่ป้องกันการติดเชื้อในทางเดินอาหาร และยังประกอบด้วยกากใยชนิดพิเศษที่สามารถละลายน้ำได้ซึ่งจะเป็นตัวกลางในการนำไขมันอันตราย สารอนุมูลอิสระ สารพิษต่างๆออกจากลำไส้ นอกจากนี้สาหร่ายทะเลยังเป็นแหล่งของแร่ธาตุอย่างดีจากน้ำทะเล</span></span></div>
<div class="MsoNormal" style="font-family: Tahoma; margin-left: 36pt; text-align: justify; text-indent: -18pt;">
<span style="font-size: large;"><span style="font-family: 'Angsana New';">6.</span><span lang="TH" style="font-family: 'Angsana New';"><b>เบอร์รี่ </b>เช่น ราสเบอร์รี่ สตรอเบอร์รี่ บลูเบอร์รี่ เชอร์รี่ เบอร์รี่สีดำ เพราะในเบอร์รี่จะมีสารต้านมะเร็งในปริมาณสูง และยังมีกรดอัลลาจิกที่จะทำลายเซลล์มะเร็งให้ตาย</span></span></div>
<div class="MsoNormal" style="font-family: Tahoma; margin-left: 36pt; text-align: justify; text-indent: -18pt;">
<span style="font-size: large;"><span style="font-family: 'Angsana New';">7.<span style="font-family: 'Times New Roman';"> </span></span><span lang="TH" style="font-family: 'Angsana New';"><b>โยเกิร์ต</b> เนื่องจากในโยเกิร์ตจะมีแบคทีเรียชนิดแลคโตบาซิลัส ที่สามารถหมักนมให้เป็นสารที่มีประโยชน์ต่อทางเดินอาหารและระบบภูมิคุ้มกัน และเนื่องจากกว่า 80</span>%<span lang="TH" style="font-family: 'Angsana New';"> ของระบบภูมิคุ้มกันจะอยู่ที่ทางเดินอาหาร ดังนั้นโยเกิร์ตจึงเป็นอาหารที่จัดว่าเป็นยาอายุวัฒนะที่จำเป็นอย่างยิ่งสำหรับร่างกายในการป้องการติดเชื้อและยังช่วยต้านมะเร็งอีกด้วย</span></span></div>
<div class="MsoNormal" style="font-family: Tahoma; margin-left: 36pt; text-align: justify; text-indent: -18pt;">
<span style="font-size: large;"><span style="font-family: 'Angsana New';">8.</span><span lang="TH" style="font-family: 'Angsana New';"><b>ชาเขียว </b> ประกอบด้วยคาเทชินและสารเคมีในพืชอีกหลายชนิดด้วยกัน จากงานวิจัยของสถาบันมะเร็งแห่งชาติประเทศญี่ปุ่นและจีน พบว่าชาเขียวสามารถป้องกันการเกิดมะเร็งและยังสามารถเปลี่ยนเซลล์มะเร็งให้เป็นเซลล์ปกติได้</span></span></div>
<div class="MsoNormal" style="font-family: Tahoma; margin-left: 36pt; text-align: justify; text-indent: -18pt;">
<span style="font-size: large;"><span style="font-family: 'Angsana New';">9.</span><span lang="TH" style="font-family: 'Angsana New';"><b>เครื่องเทศ</b> -มาสตาร์ด พริก พริกไท กระเทียม หัวหอม ขิง โรสแมรี่ อบเชยและเครื่องเทศอื่นๆที่ใช้ปรุงแต่งรส สามารถต้านมะเร็งและกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน</span></span></div>
<div class="MsoNormal" style="font-family: Tahoma; margin-left: 36pt; text-align: justify; text-indent: -18pt;">
<span style="font-size: large;"><span style="font-family: 'Angsana New';">10.</span><span lang="TH" style="font-family: 'Angsana New';"><b>น้ำสะอาด</b> - เป็นเรื่องแปลกที่กว่า 2 ใน 3 ของพื้นที่บนโลกและของร่างกายนั้นประกอบด้วยน้ำ เนื่องจากน้ำนั้นเป็นเป็นสารตัวกลางสำคัญของร่างกายที่ใช้ในขบวนการต่างๆของเซลล์ อาทิเช่น ควบคุมสมดุลกรด-ด่าง การทำความสะอาด การขจัดสิ่งสกปรก และยังนำพาสารอาหารที่มีประโยชน์เข้าสู่เซลล์ ตลอดจนนำของเสีย หรือสารพิษออกจากเซลล์อีกด้วย</span><span style="font-family: 'Angsana New';"> </span></span></div>
<h2 align="center" style="font-family: Tahoma;">
<span lang="TH" style="font-family: 'Angsana New';"><span style="font-size: x-large;">อาหารชั้นเยี่ยม</span></span></h2>
<div class="MsoBodyTextIndent2" style="font-family: Tahoma;">
<span lang="TH" style="font-size: large;"> </span><span lang="TH">ถึงแม้ว่าอาหารหลากหลายชนิดจะมีสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย แต่มีอาหารเพียงไม่กี่อย่างที่จัดว่าเป็น อาหารชั้นเยี่ยม ซึ่งได้แก่</span></div>
<div class="MsoNormal" style="font-family: Tahoma; margin-left: 72pt; text-align: justify; text-indent: -18pt;">
<span style="font-size: large;"><span style="font-family: Wingdings;">v<span style="font-family: 'Times New Roman';"> </span></span><span lang="TH" style="font-family: 'Angsana New';"><b>กระเทียม </b> เป็นเครื่องเทศกลิ่นแรงที่ใช้ประกอบอาหารกันมามากกว่า 5</span><span style="font-family: 'Angsana New';">,<span lang="TH">000 ปี นอกจากนี้ยังใช้เป็นส่วนประกอบในสูตรยาฆ่าเชื้ออีกด้วย หลุยส์ ปาสเตอร์พบว่า กระเทียมสามารถฆ่าเชื้อที่อยู่ในจานเพาะเชื้อได้ และยังพบว่ากระเทียมจะกระตุ้นการทำงานของร่างกายในการป้องกันเซลล์มะเร็ง อับดุลลาห์ แพทย์ของมหาวิทยาลัยฟลอริดา พบว่าเซลล์เม็ดเลือดขาวของผู้ที่กินกระเทียม สามารถฆ่าเซลล์มะเร็งได้ดีกว่าเซล์เม็ดเลือดขาวของผู้ไม่กินกระเทียมถึง 139 </span>%<span lang="TH"> มีการทดลองพบว่าทั้งกระเทียมและหัวหอมสามารถลดการเกิดมะเร็งที่ผิวหนัง และจากการให้หนูทดลองกินกระเทียม พบว่าในหนูที่มีแนวโน้มว่าทางพันธุกรรมว่าเป็นมะเร็งได้ง่าย จะมีโอกาสเป็นมะเร็งลดลง</span></span></span></div>
<div class="MsoNormal" style="font-family: Tahoma; margin-left: 72pt; text-align: justify; text-indent: 36pt;">
<span lang="TH" style="font-family: 'Angsana New';"><span style="font-size: large;">มะเร็งที่พบได้บ่อย คือมะเร็งกระเพาะอาหาร ซึ่งนักวิจัยชาวจีน พบว่าการบริโภคกระเทียมและหัวหอมในปริมาณสูงๆ สามารถลดความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งที่กระเพาะลงได้ครึ่งหนึ่ง นอกจากนี้กระเทียมยังทำให้ตับสามารถทนต่อสารที่ก่อให้เกิดมะเร็งได้มากขึ้นด้วย และด้วยกลไกการออกฤทธิ์ของกระเทียมที่จะทำลายเฉพาะเซลล์มะเร็ง แต่ไม่ทำลายเซลล์ปกติ ดังนั้นจึงสามารถบริโภคได้อย่างปลอดภัย</span></span></div>
<div class="MsoNormal" style="font-family: Tahoma; margin-left: 72pt; text-align: justify; text-indent: -18pt;">
<span style="font-size: large;"><span style="font-family: Wingdings;">v</span><span lang="TH" style="font-family: 'Angsana New';"><b>แคโรทีนอย</b> -ทั้งแคโรทีนอยและไบโอฟลาวินอยในพืช จัดว่าเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ และยังกระตุ้นการทำงาของระบบภูมิคุ้มกันอีกด้วย โดยที่หน้าที่หลักของแคโรทีนอย คือจะเป็นพิษต่อเซลล์มะเร็ง แคโรทีนอยจะพบทั้งในผัก-ผลไม้สีเขียวและสีส้ม ส่วนไบโอฟลาวินอยจะพบในพวกผลไม้รสเปรี้ยว ธัญพืช น้ำผึ้ง</span></span></div>
<div class="MsoNormal" style="font-family: Tahoma; margin-left: 72pt; text-align: justify; text-indent: -18pt;">
<span style="font-size: large;"><span style="font-family: Wingdings;">v</span><span lang="TH" style="font-family: 'Angsana New';"><b>พวกหัวกะหล่ำ</b> -ได้แก่ บร็อคโคลี</span><span style="font-family: 'Angsana New';">,<span lang="TH"> กะหล่ำปลี</span>,<span lang="TH"> กะหล่ำปลี</span>brussel,<span lang="TH"> ดอกกะหล่ำ ซึ่งพืชเหล่านี้จะมีส่วนหัวอยู่ติดกับพื้นดิน เนื่องจากในพืชชนิดนี้จะมีสารอินโดล ซึ่งมีฤทธิ์ต้านมะเร็ง นักวิทยาศาสตร์ของมหาวิทยาลัยจอห์น ฮอบกิ้นส์ พบว่าในสัตว์ทดลองที่เลี้ยงด้วยพืชประเภทนี้ เมื่อได้สารก่อมะเร็งชนิดอัลฟาทอกซินนั้นโอกาสเกิดมะเร็งลดลงถึง 90 </span>%</span></span></div>
<div class="MsoNormal" style="font-family: Tahoma; margin-left: 72pt; text-align: justify; text-indent: -18pt;">
<span style="font-size: large;"><span style="font-family: Wingdings;">v</span><span lang="TH" style="font-family: 'Angsana New';"><b>เห็ด </b> นักวิทยาศาสตร์พบว่าเห็ดไรชิ</span><span style="font-family: 'Angsana New';"> ,<span lang="TH">เห็ดชิตาเกะ</span> ,<span lang="TH">เห็ดไมตาเกะ มีสารต้านมะเร็งในปริมาณสูง มีการทดลองให้สัตว์กินสารสกัดจากเห็ดไมตาเกะ พบว่า 40</span>%<span lang="TH">ของสัตว์ทั้งหมดสามารถกำจัดมะเร็งได้หมดสิ้น ส่วนอีกสัตว์อีก60</span>%<span lang="TH">นั้นสามารถกำจัดมะเร็งได้ถึง 90</span>% <span lang="TH">ในเห็ดไมตาเกะ ประกอบด้วยโพลีแซคคาไลท์ ที่ชื่อว่า เบต้า-กลูแคน ซึ่งช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันและช่วยลดความดันเลือด</span></span></span></div>
<div class="MsoNormal" style="font-family: Tahoma; margin-left: 72pt; text-align: justify; text-indent: -18pt;">
<span style="font-size: large;"><span style="font-family: Wingdings;">v</span><span style="font-family: 'Angsana New';"><span lang="TH"><b>ถั่ว </b> - บรรดาเมล็ดพืชทั้งหลายที่มีเปลือก จะมีสารโปรตีเอสอินฮิบิเตอร์ทำให้ร่างกายของเราไม่สามารถย่อยเมล็ดเหล่านั้นได้โดยตรง จาการค้นพบที่ผ่านมาพบว่าสารโปรตีเอสอินฮิบิเตอร์ สามารถยับยั้งการโตของเซลล์มะเร็งได้ สถาบันมะเร็งนานาชาติ พบว่าในอาหารประเภทถั่วนั้นประกอบด้วยสารไอโซฟลาโวนและสารไฟโตเอสโตรเจนที่มีฤทธิ์ต้านมะเร็งได้เป็นอย่างดี และจากงานวิจัยของ</span>Dr. Ann Kennedy <span lang="TH">พบว่าในถั่วมีคุณสมบัติดังนี้</span></span></span></div>
<div class="MsoNormal" style="font-family: Tahoma; margin-left: 108pt; text-align: justify; text-indent: -18pt;">
<span style="font-size: large;"><span style="font-family: Symbol;">·<span style="font-family: 'Times New Roman';"> </span></span><span lang="TH" style="font-family: 'Angsana New';">ป้องกันการเกิดมะเร็งในสัตว์ที่ได้สารที่ก่อให้เกิดมะเร็ง</span></span></div>
<div class="MsoNormal" style="font-family: Tahoma; margin-left: 108pt; text-align: justify; text-indent: -18pt;">
<span style="font-size: large;"><span style="font-family: Symbol;">·<span style="font-family: 'Times New Roman';"> </span></span><span lang="TH" style="font-family: 'Angsana New';">ในงานวิจัยบางงานพบว่า สามารถทำให้เซลล์มะเร็งโตช้าลง</span></span></div>
<div class="MsoNormal" style="font-family: Tahoma; margin-left: 108pt; text-align: justify; text-indent: -18pt;">
<span style="font-size: large;"><span style="font-family: Symbol;">·<span style="font-family: 'Times New Roman';"> </span></span><span lang="TH" style="font-family: 'Angsana New';">ลดผลข้างเคียงของการใช้ยาและรังสีเพื่อการรักษามะเร็ง</span></span></div>
<div class="MsoNormal" style="font-family: Tahoma; margin-left: 108pt; text-align: justify; text-indent: -18pt;">
<span style="font-size: large;"><span style="font-family: Symbol;">·<span style="font-family: 'Times New Roman';"> </span></span><span lang="TH" style="font-family: 'Angsana New';">สามารถเปลี่ยนเซลล์มะเร็งให้เป็นเซลล์ปกติได้</span></span></div>
<div class="MsoNormal" style="font-family: Tahoma; margin-left: 54pt; text-align: justify;">
<span lang="TH" style="font-family: 'Angsana New';"><span style="font-size: large;">นอกจากนี้ยังมีอาหารอีกหลายชนิดที่สามารถยับยั้งการแพร่ของมะเร็งได้ อาทิเช่น แอปเปิ้ล แอพริคอท บาร์เล่ย์ ผลไม้รสเปรี้ยว แครนเบอร์รี่ ปลา น้ำมันปลา ขิง โสม ชาเขียว ผักโขม สาหร่ายทะเล </span></span></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="http://www.goodhealth.co.th/images/10item5.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="146" src="http://www.goodhealth.co.th/images/10item5.jpg" width="228" /></a></div>
<div class="MsoNormal" style="font-family: Tahoma; text-align: justify;">
<span style="font-size: large;"><span lang="TH" style="font-family: 'Angsana New';"> </span><span lang="TH" style="font-family: 'Angsana New';"> </span></span></div>Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/09618402395013393039noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7971081096527885097.post-66053006059652901672012-06-25T07:10:00.004-07:002012-06-25T07:10:54.616-07:0010 วิธีการกินอาหารเพื่อสุขภาพที่ดี<br />
<table align="center" bgcolor="#B2D5F7" border="0" cellpadding="8" cellspacing="0" class="content_normal_th" style="border: thin; font-family: 'MS Sans Serif', 'Microsoft Sans Serif'; font-size: 9px; width: 600px;"><tbody>
<tr align="center" valign="middle"><td colspan="2" style="font-family: 'ms sans serif', Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif;"><div style="text-align: center;">
<span class="more_th" style="font-family: 'MS Sans Serif', 'Microsoft Sans Serif';"><strong><span style="font-size: 14px;"> </span><span style="font-size: x-large;">10 วิธีการกินอาหารเพื่อสุขภาพที่ดี</span></strong></span></div>
</td></tr>
<tr><td colspan="2" height="7" style="font-family: 'ms sans serif', Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif;"><div align="left">
<table border="0" cellspacing="5" style="border: thin;"><tbody>
<tr><td class="more_th" style="font-family: 'MS Sans Serif', 'Microsoft Sans Serif';"><div align="right" class="more_th" style="font-size: 14px;">
</div>
<div align="center" class="more_th" style="font-size: 14px;">
<img height="264" src="http://www.tistr-foodprocess.net/image_2008/image_food_health2008/health1_july08.gif" width="200" /></div>
<div class="more_th">
<span style="font-size: 14px;"> </span><span style="font-size: large;">ในแต่ละวันเราจำเป็นต้องรับประทานอาหารมากมาย มีคำแนะนำจากหลายสำนักให้กินนั่น ห้ามกินนี่จนไม่รู้จะเชื่อใครดี วันนี้เราจึงมีเคล็ดลับง่ายๆ ของการกินให้ได้ประโยชน์สูงสุดต่อสุขภาพอย่างเต็มที่มาฝาก</span></div>
<div class="more_th">
<span style="font-size: large;"><strong>1. กินอาหารเช้า </strong>เป็นพฤติกรรมพื้นฐานที่ส่งผลต่อจิตใจ และพลังชีวิตของคุณไปตลอดทั้งวัน และช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเส้นเลือด ลดอัตราเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ ช่วยเผาผลาญพลังงานให้ดีขึ้น ทำให้คุณกินอาหารในมื้ออื่นๆ น้อยลง</span></div>
<div class="more_th">
<span style="font-size: large;"><strong>2. </strong><strong>เปลี่ยนน้ำมันที่ใช้ปรุงอาหาร </strong>ยอมจ่ายแพงสักนิดใช้น้ำมันมะกอก หรือน้ำมันดอกทานตะวัน ปรุงอาหารแทนน้ำมันแบบเดิมที่เคยใช้ เพราะเป็นไขมันที่ไม่เป็นโทษต่อร่างกาย และมีกรดไขมันอิ่มตัวที่เป็นประโยชน์ ช่วยลดไขมันในเส้นเลือดได้เป็นอย่างดี</span></div>
<div class="more_th">
<span style="font-size: large;"><strong>3. ดื่มน้ำให้มากขึ้น </strong>คนเราควรดื่มน้ำวันละ 2 ลิตรเป็นอย่างน้อย (ยกเว้นในรายที่ไตทำงานผิดปกติ) เพื่อหล่อเลี้ยงเซลล์ในร่างกาย ฟื้นฟูระบบขับถ่าย รักษาระดับความเข้มข้นของเลือด จะทำให้สดชื่นตลอดวันเลยทีเดียว</span></div>
<div class="more_th">
<span style="font-size: large;"><strong>4. เสริมสร้างแคลเซียมให้กับกระดูก </strong>ด้วยการดื่มนม กินปลาตัวเล็กทั้งตัวทั้งก้าง เต้าหู้ ผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง ผักใบเขียว เพราะแคลเซียมเป็นสิ่งจำเป็นที่จะเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้อและกระดูก ทำให้ระบบประสาททำงานได้เต็มประสิทธิภาพ</span></div>
<div class="more_th">
<span style="font-size: large;"><strong>5. </strong><strong>บอกลาขนมและของกินจุบจิบ </strong>ตัดของโปรดประเภทโดนัท คุกกี้ เค้กหน้าครีมหนานุ่ม ออกจากชีวิตบ้าง แล้วหันมากินผลไม้เป็นของว่างแทน วิตามิน และกากใยในผลไม้ มีประโยชน์กว่าไขมัน และน้ำตาลจากขนมหวานเป็นไหนๆ</span></div>
<div class="more_th">
<span style="font-size: large;"><strong>6. </strong><strong>สร้างความคุ้นเคยกับการกินธัญพืชและข้าวกล้อง </strong>เมล็ดทานตะวัน ข้าวฟ่างและลูกเดือย รวมทั้งข้าวกล้องที่เคยคิดว่าเป็นอาหารนก ได้มีการศึกษาและค้นคว้าแล้ว พบว่า ช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจถึง 1 ใน 3 เลยทีเดียว เพราะอุดมไปด้วยไฟเบอร์ ที่ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล และควบคุมน้ำตาลในเลือดให้สมดุล</span></div>
<div class="more_th">
<span style="font-size: large;"><strong>7. </strong><strong>จัดน้ำชาให้ตัวเอง </strong>ทั้งชาดำ ชาเขียว ชาอู่ล่ง หรือเอิร์ลเกรย์ ล้วนแล้วแต่มีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระ การดื่มชาวันละ 1 ถึง 3 แก้ว ช่วยลดอัตราเสี่ยงมะเร็งกระเพาะอาหารถึง 30%</span></div>
<div class="more_th">
<span style="font-size: large;"><strong>8. </strong><strong>กินให้ครบทุกสิ่งที่ธรรมชาติมี </strong>คุณต้องพยายามรับประทานผักผลไม้ต่างๆ ให้หลากสี เป็นต้นว่า สีแดงมะเขือเทศ สีม่วงองุ่น สีเขียวบล็อกเคอรี สีส้มแครอท อย่ายึดติดอยู่กับการกินอะไรเพียงอย่างเดียว เพราะพืชต่างสีกัน มีสารอาหารต่างชนิดกัน แถมยังเป็นการเพิ่มสีสันการกินให้กับคุณด้วย</span></div>
<div class="more_th">
<span style="font-size: large;"><strong>9. </strong><strong>เปลี่ยนตัวเองให้เป็นคนรักปลา </strong>การกินปลาอย่างน้อยอาทิตย์ละครั้ง ได้ทั้งความฉลาดและแข็งแรง เพราะปลามีกรดไขมันโอเมก้า 3 และโปรตีน ที่ช่วยควบคุมการเต้นของหัวใจให้เป็นปกติ และบำรุงเซลล์สมอง ทั้งยังมีไขมันน้อย อร่อย ย่อยง่าย เหมาะสำหรับคนที่ต้องการหุ่นเพรียวลมเป็นที่สุด</span></div>
<div class="more_th">
<span style="font-size: large;"><strong>10. </strong><strong>กินถั่วให้เป็นนิสัย </strong>ทำให้ถั่วเป็นส่วนหนึ่งของอาหารที่คุณต้องกินทุกวัน วันละสัก 2 ช้อน ไม่ว่าจะเป็นของหวานของคาว หรือว่าของว่างก็ทั้งโปรตีน วิตามิน และแร่ธาตุสำคัญๆ หลายชนิด ต่างพากันไปชุมนุมอยู่ในถั่วเหล่านี้ ควรกินถั่วอย่างสม่ำเสมอ แต่ไม่ควรกินครั้งละมากๆ เพราะมีแคลอรี่สูง อาจทำให้อ้วนได้</span></div>
</td></tr>
</tbody></table>
</div>
</td></tr>
</tbody></table>Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/09618402395013393039noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7971081096527885097.post-89940184364882807172012-06-25T07:09:00.000-07:002012-06-25T07:09:02.135-07:0010 อันดับ อาหารไทยที่ชาวต่างชาติชื่นชอบ<br />
<div style="border: 0px; font-family: Helvetica, Arial, Tahoma, 'Lucida Grande', sans-serif; line-height: 21px; margin-bottom: 18px; padding: 0px; text-align: left; vertical-align: baseline;">
</div>
<div style="text-align: center;">
<strong style="background-color: white;"><span style="border: 0px; font-family: inherit; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><span style="border: 0px; font-family: inherit; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><span style="font-size: x-large;">10 อันดับ อาหารไทยที่ชาวต่างชาติชื่นชอบ</span></span></span></strong></div>
<span style="font-size: 14px;"> </span><br /><span style="font-size: 14px;"> เป็นที่รู้กันทั่วไปว่าอาหารไทยคือแรงกระตุ้นสำคัญให้ชาวต่างชาติอยากมาเที่ยวเมืองไทยซ้ำแล้วซ้ำอีก เนื่องจากรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์และความอร่อยที่ไม่แพ้ชาติใดในโลก</span><span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: 14px; font-style: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"> </span><br />
<div style="border: 0px; font-family: Helvetica, Arial, Tahoma, 'Lucida Grande', sans-serif; font-size: 14px; line-height: 21px; margin-bottom: 18px; padding: 0px; text-align: left; vertical-align: baseline;">
<br /></div>
<div style="border: 0px; font-family: Helvetica, Arial, Tahoma, 'Lucida Grande', sans-serif; font-size: 14px; line-height: 21px; margin-bottom: 18px; padding: 0px; text-align: left; vertical-align: baseline;">
<strong>อันดับที่ 10</strong><br />Por Pia Tord or Fried Spring Roll</div>
<div style="border: 0px; font-family: Helvetica, Arial, Tahoma, 'Lucida Grande', sans-serif; font-size: 14px; line-height: 21px; margin-bottom: 18px; padding: 0px; text-align: left; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: small; font-style: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: 16px; font-style: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><img alt="image" src="http://travel.mthai.com/wp-content/uploads/old_attachment/2010/12/21/7584-attachment.jpg" style="border: 0px; font-family: inherit; font-style: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;" /></span></span><br />หรือ <strong>ปอเปี๊ยะทอ </strong><br /><br /><strong>อันดับที่ 9</strong><br />Gai Pad Met Mamuang or Cashew Nuts In Stir-Fried Chicken</div>
<div style="border: 0px; font-family: Helvetica, Arial, Tahoma, 'Lucida Grande', sans-serif; font-size: 14px; line-height: 21px; margin-bottom: 18px; padding: 0px; text-align: left; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: small; font-style: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: 16px; font-style: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><img alt="image" src="http://travel.mthai.com/wp-content/uploads/old_attachment/2010/12/21/7585-attachment.jpg" style="border: 0px; font-family: inherit; font-style: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;" /></span></span><br />หรือ <strong>ไก่ผัดเม็ดมะม่วงหิมพานต์</strong> </div>
<div style="border: 0px; font-family: Helvetica, Arial, Tahoma, 'Lucida Grande', sans-serif; font-size: 14px; line-height: 21px; margin-bottom: 18px; padding: 0px; text-align: left; vertical-align: baseline;">
<br /><strong>อันดับที่ 8</strong><br />Som Tam or Spicy Papaya Salad</div>
<div style="border: 0px; font-family: Helvetica, Arial, Tahoma, 'Lucida Grande', sans-serif; font-size: 14px; line-height: 21px; margin-bottom: 18px; padding: 0px; text-align: left; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: small; font-style: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: 16px; font-style: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><img alt="image" src="http://travel.mthai.com/wp-content/uploads/old_attachment/2010/12/21/7586-attachment.jpg" style="border: 0px; font-family: inherit; font-style: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;" /></span></span><br />หรือ <strong>ส้มตำ</strong><br /><br /><strong>อันดับที่ 7</strong><br />Moo Sa-Te or Grilled Pork Sticks with Turmeric</div>
<div style="border: 0px; font-family: Helvetica, Arial, Tahoma, 'Lucida Grande', sans-serif; font-size: 14px; line-height: 21px; margin-bottom: 18px; padding: 0px; text-align: left; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: small; font-style: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: 16px; font-style: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><img alt="image" src="http://travel.mthai.com/wp-content/uploads/old_attachment/2010/12/21/7587-attachment.jpg" style="border: 0px; font-family: inherit; font-style: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;" /></span></span><br />หรือ <strong>หมูสะเต๊ะ</strong><br /> <br /><strong>อันดับที่ 6</strong><br />Panaeng or Meat in Spicy Coconut Cream</div>
<div style="border: 0px; font-family: Helvetica, Arial, Tahoma, 'Lucida Grande', sans-serif; font-size: 14px; line-height: 21px; margin-bottom: 18px; padding: 0px; text-align: left; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: small; font-style: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: 16px; font-style: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><img alt="image" height="310" src="http://travel.mthai.com/wp-content/uploads/old_attachment/2010/12/21/7588-attachment.jpg" style="border: 0px; font-family: inherit; font-style: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;" width="456" /></span></span><br />หรือ <strong>พะแนง</strong> <br /><br /><strong>อันดับที่ 5</strong><br />Tom Yam Gai or Chicken Soup (Spicy)</div>
<div style="border: 0px; font-family: Helvetica, Arial, Tahoma, 'Lucida Grande', sans-serif; font-size: 14px; line-height: 21px; margin-bottom: 18px; padding: 0px; text-align: left; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: small; font-style: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: 16px; font-style: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><img alt="image" height="329" src="http://travel.mthai.com/wp-content/uploads/old_attachment/2010/12/21/7590-attachment.jpg" style="border: 0px; font-family: inherit; font-style: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;" width="466" /></span></span><br />หรือ <strong>ต้มยำไก่</strong><br /> <br /><strong>อันดับที่ 4</strong><br />Tom Yam Goong or Spicy Shrimp Soup</div>
<div style="border: 0px; font-family: Helvetica, Arial, Tahoma, 'Lucida Grande', sans-serif; font-size: 14px; line-height: 21px; margin-bottom: 18px; padding: 0px; text-align: left; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: small; font-style: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: 16px; font-style: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><img alt="image" src="http://travel.mthai.com/wp-content/uploads/old_attachment/2010/12/21/7591-attachment.jpg" style="border: 0px; font-family: inherit; font-style: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;" /></span></span><br />หรือ <strong>ต้มยำกุ้ง</strong><br /><br /><strong>อันดับที่ 3</strong><br />Tom Kha Kai Or Chicken In Coconut Milk Soup<br /><span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: small; font-style: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: 16px; font-style: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><img alt="image" src="http://travel.mthai.com/wp-content/uploads/old_attachment/2010/12/21/7592-attachment.jpg" style="border: 0px; font-family: inherit; font-style: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;" /></span></span></div>
<div style="border: 0px; font-family: Helvetica, Arial, Tahoma, 'Lucida Grande', sans-serif; font-size: 14px; line-height: 21px; margin-bottom: 18px; padding: 0px; text-align: left; vertical-align: baseline;">
หรือ <strong>ต้มข่าไก่</strong><br /><br /><strong>อันดับที่ 2</strong><br />Kang Keaw Wan Kai or Chicken Curry (Green)<br /><span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: small; font-style: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: 16px; font-style: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><img alt="image" height="264" src="http://travel.mthai.com/wp-content/uploads/old_attachment/2010/12/21/7593-attachment.jpg" style="border: 0px; font-family: inherit; font-style: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;" width="384" /></span></span></div>
<div style="border: 0px; font-family: Helvetica, Arial, Tahoma, 'Lucida Grande', sans-serif; font-size: 14px; line-height: 21px; margin-bottom: 18px; padding: 0px; text-align: left; vertical-align: baseline;">
หรือ <strong>แกงเขียวหวานไก่</strong><br /> <br /><strong>อันดับที่ 1</strong>Pad Thai<br /><span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: small; font-style: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: 16px; font-style: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><img alt="image" height="276" src="http://travel.mthai.com/wp-content/uploads/old_attachment/2010/12/21/7594-attachment.jpg" style="border: 0px; font-family: inherit; font-style: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;" width="421" /></span></span></div>
<div style="border: 0px; font-family: Helvetica, Arial, Tahoma, 'Lucida Grande', sans-serif; font-size: 14px; line-height: 21px; margin-bottom: 18px; padding: 0px; text-align: left; vertical-align: baseline;">
หรือ <strong>ผัดไทย</strong></div>Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/09618402395013393039noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7971081096527885097.post-23140919544855560642012-06-25T07:01:00.002-07:002012-06-26T05:27:48.205-07:00วัฒนธรรมและประเพณีไทย<br />
<h1 style="text-align: center;">
<span style="font-weight: 400;"><span style="font-family: 'MS Sans Serif'; font-size: x-large;"><span lang="en-us">วัฒนธรรมและประเพณีไทย</span></span></span></h1>
<span style="font-family: 'MS Sans Serif';"> การที่มนุษย์มาอยู่รวมกันเป็นกลุ่มเป็นสังคมขึ้นมาย่อมต้องมีความสัมพันธ์ระหว่างสมาชิกของกลุ่มมีระเบียบแบบแผนที่ควบคุมพฤติกรรมของบุคคลในกลุ่มให้อยู่ในขอบเขตที่จะอยู่ร่วมกันอย่างมีความสงบสุข สิ่งที่เป็นเครื่องมือในการควบคุมพฤติกรรมของกลุ่มคนนี้เราเรียกว่า "วัฒนธรรม" ดังนั้น วัฒนธรรมจึงเปรียบเสมือนอาภรณ์ห่อหุ้มร่างกายตกแต่งคนให้น่าดูชม วัฒนธรรมเป็นสิ่งที่ต้องควบคู่กับคนเสมอไป </span><span style="font-family: 'MS Sans Serif';"></span><br />
<span style="font-family: 'MS Sans Serif';"></span><span style="font-family: 'MS Sans Serif';">"วัฒนธรรมมีความหมายครอบคลุมทุกสิ่งทุกอย่าง ที่แสดงออกถึงวิถีชีวิตของมนุษย์ในสังคมกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง หรือสังคมใดสังคมหนึ่ง มนุษย์ได้คิดสร้างระเบียบกฎเกณฑ์ใช้ในการปฏิบัติ การจัดระเบียบตลอดจนระบบความเชื่อ ค่านิยม ความรู้ และเทคโนโลยีต่าง ๆ ในการควบคุมและใช้ประโยชน์จากธรรมชาติ"</span><br />
<span style="font-family: 'MS Sans Serif';"></span><span style="font-family: 'MS Sans Serif';"> "วัฒนธรรมคือความเจริญก้าวหน้าของมนุษย์ หรือลักษณะประจำชนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งที่อยู่ในสังคม ซึ่งไม่เพียงแต่จะหมายถึงความสำเร็จในด้านศิลปกรรมหรือมารยาททางสังคมเท่านั้น กล่าวคือ ชนทุกกลุ่มต้องมีวัฒนธรรม ดังนั้น เมื่อมีความแตกต่างระหว่างชนแต่ละกลุ่ม ก็ย่อมมีความแตกต่างทางวัฒนธรรมนั่นเอง เช่น ชาวนาจีน กับชาวนาในสหรัฐอเมริกา ย่อมมีความแตกต่างกัน</span><br />
<span style="font-family: 'MS Sans Serif';"></span><span style="font-family: 'MS Sans Serif';"> "วัฒนธรรมคือสิ่งที่มนุษย์เปลี่ยนแปลงหรือปรับปรุงหรือผลิตสร้างขึ้น เพื่อความเจริญงอกงามในวิถีชีวิตและส่วนรวม วัฒนธรรมคือวิถีแห่งชีวิตของมนุษย์ในส่วนร่วมที่ถ่ายทอดกันได้ เรียนกันได้ เอาอย่างกันได้ วัฒนธรรมจึงเป็นผลผลิตของส่วนร่วมที่มนุษย์ได้เรียนรู้มาจากคนสมัยก่อน สืบต่อกันมาเป็นประเพณี วัฒนธรรมจึงเป็นทั้งความคิดเห็นหรือการกระทำของมนุษย์ในส่วนร่วมที่เป็นลักษณะเดียวกัน และสำแดงให้ปรากฏเป็นภาษา ความเชื่อ ระเบียบประเพณี</span><br />
<span style="font-family: 'MS Sans Serif';"></span><span style="font-family: 'MS Sans Serif';"> พระราชบัญญัติ วัฒนธรรมแห่งชาติพุทธศักราช 2485 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พุทธศักราช 2486 ได้ให้ความหมายของวัฒนธรรมไว้ดังนี้</span><br />
<span style="font-family: 'MS Sans Serif';"></span><span style="font-family: 'MS Sans Serif';"> วัฒนธรรม คือ ลักษณะที่แสดงถึงความเจริญงอกงาม ความเป็นระเบียบเรียบร้อย ความกลมเกลียวก้าวหน้าของชาติ และศีลธรรมอันดีของประชาชน</span><br />
<span style="font-family: 'MS Sans Serif';"></span><span style="font-family: 'MS Sans Serif';"> วัฒนธรรมจึงเป็นลักษณะพฤติกรรมต่างๆ ของมนุษย์ซึ่งเป็นวิถีชีวิตของมนุษย์ ทั้งบุคคลและสังคมที่ได้วิวัฒนาการต่อเนื่องมาอย่างมีแบบแผน แต่อย่างไรก็ดีมนุษย์นั้นไม่ได้เกาะกลุ่มอยู่เฉพาะในสังคมของตนเอง ได้มีความสัมพันธ์ติดต่อกับสังคมต่างๆ ซึ่งอาจอยู่ใกล้ชิดมีพรมแดนติดต่อกัน หรือยู่ปะปนในสถานที่เดียวกันหรือ การที่ชนชาติหนึ่งตกอยู่ใต้การปกครองของชนชาติหนึ่ง มนุษย์เป็นผู้รู้จักเปลี่ยนแปลงปรับปรุงสิ่งต่าง ๆ จึงนำเอาวัฒนธรรมที่เห็นจากได้สัมพันธ์ติดต่อมาใช้โดยอาจรับมาเพิ่มเติมเป็นวัฒนธรรมของตนเองโดยตรงหรือนำเอามาดัดแปลงแก้ไขให้สอดคล้องเหมาะสมกับสภาพวัฒนธรรมที่มีอยู่เดิม</span><br />
<span style="font-family: 'MS Sans Serif';"></span><span style="font-family: 'MS Sans Serif';">ในปัจจุบันนี้จึงไม่มีประเทศชาติใดที่มีวัฒนธรรมบริสุทธิ์อย่างแท้จริง แต่จะมีวัฒนธรรมที่มีพื้นฐานมาจากความรู้ ประสบการณ์ที่สังคมตกทอดมาโดยเฉพาะของสังคมนั้น และจากวัฒนธรรมแหล่งอื่นที่เข้ามาผสมปะปนอยู่ และวัฒนธรรมไทยก็มีแนวทางเช่นนี้ </span><br />
<strong><span style="font-family: 'MS Sans Serif';"></span></strong><strong><span style="font-family: 'MS Sans Serif';"><br /></span></strong><br />
<strong><span style="font-family: 'MS Sans Serif';">ความสำคัญของวัฒนธรรม</span><small><span style="font-size: small;"><br /></span></small></strong><small><span style="font-family: 'MS Sans Serif'; font-size: small;"> </span></small><span style="font-family: 'MS Sans Serif';">วัฒนธรรมเป็นเรื่องที่สำคัญยิ่งในความเป็นชาติ ชาติใดที่ไร้เสียซึ่งวัฒนธรรมอันเป็นของตนเองแล้ว ชาตินั้นจะคงความเป็นชาติอยู่ไม่ได้ ชาติที่ไร้วัฒนธรรม แม้จะเป็นผู้พิชิตในการสงคราม แต่ในที่สุดก็จะเป็นผู้ถูกพิชิตในด้านวัฒนธรรม ซึ่งนับว่าเป็นการถูกพิชิตอย่างราบคาบและสิ้นเชิง ทั้งนี้เพราะผู้ที่ถูกพิชิตในทางวัฒนธรรมนั้นจะไม่รู้ตัวเลยว่าตนได้ถูกพิชิต เช่น พวกตาดที่พิชิตจีนได้ และตั้งราชวงศ์หงวนขึ้นปกครองจีน แต่ในที่สุดถูกชาวจีนซึ่งมีวัฒนธรรมสูงกว่ากลืนจนเป็นชาวจีนไปหมดสิ้น ดังนั้นจึงพอสรุปได้ว่า วัฒนธรรมมีความสำคัญดังนี้</span><br />
<ul>
<li><span style="font-family: 'MS Sans Serif';">วัฒนธรรมเป็นสิ่งที่ชี้แสดงให้เห็นความแตกต่างของบุคคล กลุ่มคน หรือชุมชน</span></li>
<li><span style="font-family: 'MS Sans Serif';">เป็นสิ่งที่ทำให้เห็นว่าตนมีความแตกต่างจากสัตว์</span></li>
<li><span style="font-family: 'MS Sans Serif';">ช่วยให้เราเข้าใจสิ่งต่าง ๆ ที่เรามองเห็น การแปลความหมายของสิ่งที่เรามองเห็นนั้นขึ้นอยู่กับวัฒนธรรมของกลุ่มชน ซึ่งเกิดจากการเรียนรู้และถ่ายทอดวัฒนธรรม เช่น ชาวเกาะซามัวมองเห็นดวงจันทร์ว่ามีหญิงกำลังทอผ้า ชาวออสเตรเลียเห็นเป็นตาแมวใหญ่กำลังมองหาเหยื่อ ชาวไทยมองเห็นเหมือนรูปกระต่าย</span></li>
<li><span style="font-family: 'MS Sans Serif';">วัฒนธรรมเป็นตัวกำหนดปัจจัย 4 เช่น เครื่องนุ่งห่ม อาหาร ที่อยู่อาศัย การรักษาโรค</span></li>
<li><span style="font-family: 'MS Sans Serif';">วัฒนธรรมเป็นตัวกำหนดการแสดงความรู้สึกทางอารมณ์ และการควบคุมอารมณ์ เช่น ผู้ชายไทยจะไม่ปล่อยให้น้ำตาไหลต่อหน้าสาธารณะชนเมื่อเสียใจ</span></li>
<li><span style="font-family: 'MS Sans Serif';">เป็นตัวกำหนดการกระทำบางอย่าง ในชุมชนว่าเหมาะสมหรือไม่ ซึ่งการกระทำบางอย่างในสังคมหนึ่งเป็นที่ยอมรับว่าเหมาะสมแต่ไม่เป็นที่ยอมรับในอีกสังคมหนึ่ง</span></li>
</ul>
<span style="font-family: 'MS Sans Serif';"></span><span style="font-family: 'MS Sans Serif';">จะเห็นได้ว่าผู้สร้างวัฒนธรรมคือมนุษย์ และสังคมเกิดขึ้นก็เพราะ มนุษย์ วัฒนธรรมกับสังคมจึงเป็นสิ่งคู่กัน โดยแต่ละสังคมย่อมมีวัฒนธรรมและหากสังคมมีขนาดใหญ่หรือมีความซับซ้อน มากเพียงใด ความหลากหลายทางวัฒนธรรมมักจะมีมากขึ้นเพียงใดนั้นวัฒนธรรมต่าง ๆ ของแต่ละสังคมอาจเหมือนหรือต่างกันสืบเนื่องมาจากความแตกต่างทางด้านความเชื่อ เชื้อชาติ ศาสนาและถิ่นที่อยู่ เป็นต้น</span><br />
<strong><span style="font-family: 'MS Sans Serif';"></span></strong><br />
<strong><span style="font-family: 'MS Sans Serif';"> ลักษณะของวัฒนธรรม</span></strong><br />
<span style="font-family: 'MS Sans Serif';">เพื่อที่จะให้เข้าใจถึงความหมายของคำว่า "วัฒนธรรม" ได้อย่างลึกซึ้ง จึงขออธิบายถึงลักษณะของวัฒนธรรม ซึ่งอาจแยกอธิบายได้ดังต่อไปนี้</span><br />
<ul>
<li><span style="font-family: 'MS Sans Serif';">วัฒนธรรมเป็นพฤติกรรมที่เกิดจากการเรียนรู้ มนุษย์แตกต่างจากสัตว์ ตรงที่มีการรู้จักคิด มีการเรียนรู้ จัดระเบียบชีวิตให้เจริญ อยู่ดีกินดี มีความสุขสะดวกสบาย รู้จักแก้ไขปัญหา ซึ่งแตกต่างไปจากสัตว์ที่เกิดการเรียนรู้โดยอาศัยความจำเท่านั้น</span></li>
<li><span style="font-family: 'MS Sans Serif';">วัฒนธรรมเป็นมรดกของสังคม เนื่องจากมีการถ่ายทอดการเรียนรู้ จากคนรุ่นหนึ่งไปสู่คนรุ่นหนึ่ง ทั้งโดยทางตรงและโดยทางอ้อม โดยไม่ขาดช่วงระยะเวลา และ มนุษย์ใช้ภาษาในการถ่ายทอดวัฒนธรรม ภาษาจึงเป็นสัญลักษณ์ที่ใช้ถ่ายทอดวัฒนธรรมนั่นเอง</span></li>
<li><span style="font-family: 'MS Sans Serif';">วัฒนธรรมเป็นวิถีชีวิต หรือเป็นแบแผนของการดำเนินชีวิตของ มนุษย์ มนุษย์เกิดในสังคมใดก็จะเรียนรู้และซึมซับในวัฒนธรรมของสังคมที่ตนเองอาศัยอยู่ ดังนั้น วัฒนธรรมในแต่ละสังคมจึงแตกต่างกัน</span></li>
<li><span style="font-family: 'MS Sans Serif';">วัฒนธรรมเป็นสิ่งที่ไม่คงที่ มนุษย์มีการคิดค้นประดิษฐ์สิ่งใหม่ ๆ และ ปรับปรุงของเดิมให้เหมาะสมกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป เพื่อความเหมาะสม และความอยู่ รอดของสังคม เช่น สังคมไทยสมัยก่อนผู้หญิงจะทำงานบ้าน ผู้ชายทำงานนอกบ้าน เพื่อหาเลี้ยง ครอบครัว แต่ปัจจุบันสภาพสังคมเปลี่ยนแปลงไป ทำให้ผู้หญิงต้องออกไปทำงานนอกบ้าน เพื่อหา รายได้มาจุนเจือครอบครัว บทบาทของผู้หญิงในสังคมไทยจึงเปลี่ยนแปลงไป</span></li>
</ul>
<span style="font-family: 'MS Sans Serif';"><strong></strong></span><span style="font-family: 'MS Sans Serif';"><strong>หน้าที่ของวัฒนธรรม</strong></span><br />
<ul>
<li><span style="font-family: 'MS Sans Serif';">วัฒนธรรมเป็นตัวกำหนดรูปแบบของสถาบัน ซึ่งมีลักษณะแตกต่าง กันไปในแต่ละสังคม เช่น วัฒนธรรมอิสลามอนุญาตให้ชาย (ที่มีความสามารถเลี้ยงดูและ ให้ความ ยุติธรรมแก่ภรรยา) มีภรรยาได้มากกว่า 1 คน โดยไม่เกิด 4 คน แต่ห้ามสมสู่ ระหว่าง เพศเดียว กัน อย่างเด็ดขาด ในขณะที่ศาสนาอื่นอนุญาตให้ชายมีภรรยาได้เพียง 1 คน แต่ไม่มีบัญญัติห้าม ความสัมพันธ์ระหว่างเพศเดียวกัน ฉะนั้นรูปแบบของสถาบันครอบครัวจึงอาจแตกต่างกันไป</span></li>
<li><span style="font-family: 'MS Sans Serif';">วัฒนธรรมเป็นสิ่งที่กำหนดพฤติกรรมของมนุษย์ พฤติกรรมของคน จะเป็นเช่นไรก็ขึ้นอยู่กับวัฒนธรรมของกลุ่มสังคมนั้น ๆ เช่น วัฒนธรรมในการพบปะทักทายของ ไทย ใช้ในการสวัสดีของชาวตะวันตกทั่วไปใช้ในการสัมผัสมือ ของชาวทิเบตใช้การแลบลิ้น ของชาว มุสลิมใช้การกล่าวสลาม เป็นต้น</span></li>
<li><span style="font-family: 'MS Sans Serif';">วัฒนธรรมเป็นสิ่งที่ควบคุมสังคม สร้างความเป็นระเบียบ เรียบร้อย ให้แก่สังคม เพราะในวัฒนธรรมจะมีทั้งความศรัทธา ความเชื่อ ค่านิยม บรรทัดฐาน เป็นต้น ตลอดจน ผลตอบแทนในการปฏิบัติและบทลงโทษเมื่อฝ่าฝืน</span></li>
</ul>
<span style="font-family: 'MS Sans Serif';"></span><span style="font-family: 'MS Sans Serif';"> ฉะนั้นจึงกล่าวได้ว่า ถ้าหากเข้าใจในเรื่องวัฒนธรรมดีแล้ว จะทำให้ สามารถเข้าใจพฤติกรรมต่าง ๆ ของคนในแต่ละสังคมได้อย่างถูกต้อง</span><br />
<span style="font-family: 'MS Sans Serif';"><strong></strong></span><span style="font-family: 'MS Sans Serif';"><strong><br /></strong></span><br />
<span style="font-family: 'MS Sans Serif';"><strong>ที่มาของวัฒนธรรมไทย</strong><br />วัฒนธรรมไทยมีที่มาจากปัจจัยต่าง ๆ ดังนี้</span><br />
<ul>
<li><span style="font-family: 'MS Sans Serif';">สิ่งแวดล้อมทางภูมิศาสตร์ เนื่องจากสังคมไทยมีลักษณะทางด้านภูมิศาสตร์เป็นที่ราบลุ่มและอุดมสมบูรณ์ด้วยแม่น้ำลำคลอง คนไทยได้ใช้น้ำในแม่น้ำ ลำคลอง ในการเกษตรกรรมและการอาบ กิน เพราะฉะนั้นเมื่อถึงเวลาหน้าน้ำ คือ เพ็ญเดือน 11 และเพ็ญ เดือน 12 ซึ่งอยู่ในห้วงเวลาปลายเดือนตุลาคมและปลายเดือนพฤศจิกายน อันเป็นระยะเวลา ที่ น้ำไหลหลากมาจากทางภาคเหนือของประเทศ คนไทยจึงจัดทำกระทงพร้อม ด้วยธูปเทียนไปลอย ในแม่น้ำลำคลอง เพื่อเป็นการขอขมาลาโทษแม่คงคา และขอพรจากแม่คงคา เพราะได้อาศัยน้ำกิน น้ำใช้ ทำให้เกิด "ประเพณีลอยกระทง" นอกจากนั้นยังมีประเพณีอื่น ๆ อีกในส่วนที่เกี่ยวกับ แม่น้ำลำคลอง เช่น "ประเพณีแข่งเรือ"</span></li>
<li><span style="font-family: 'MS Sans Serif';">ระบบการเกษตรกรรม สังคมไทยเป็นสังคมเกษตรกรรม (agrarian society) กล่าวคือ ประชากรร้อยละ 80 ประกอบอาชีพเกษตรกรรม หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งได้ว่า คนไทยส่วนใหญ่มีวิถีชีวิตผูกพันกับระบบการเกษตรกรรม และระบบการเกษตรกรรมนี้เอง ได้เป็น ที่มาของวัฒนธรรมไทยหลายประการ เช่น ประเพณีขอฝน ประเพณีลงแขก และการละเล่น เต้นกำรำเคียว เป็นต้น</span></li>
<li><span style="font-family: 'MS Sans Serif';">ค่านิยม (Values) กล่าวได้ว่า "ค่านิยม" มีความเกี่ยวพันกับ วัฒนธรรมอย่างใกล้ชิด และ "ค่านิยม" บางอย่างได้กลายมาเป็น "แกน" ของวัฒนธรรมไทยกล่าวคือ วิถีชีวิตของคนไทยโดยส่วนรวมมีเอกลักษณ์ซึ่งแสดงออกถึงอิสรภาพและเสรีภาพ</span></li>
<li><span style="font-family: 'MS Sans Serif';">การเผยแพร่ทางวัฒนธรรม (Cultural diffusion) วัฒนธรรมทาง หนึ่ง ย่อม แตกต่างไปจากวัฒนธรรมทางสังคมอื่น ๆ ทั้งนี้เพราะวัฒนธรรมมิได้เกิดขึ้นมาใน ภาชนะ ที่ถูกผนึกตราบเท่าที่มนุษย์ เช่น นักท่องเที่ยว พ่อค้า ทหาร หมอสอนศาสนา และผู้อพยพยังคง ย้ายถิ่นที่อยู่จากแห่งหนึ่งไปยังแห่งอื่น ๆ เขาเหล่านั้นมักนำวัฒนธรรมของพวกเขาติดตัว ไปด้วย เสมอ ซึ่งถือได้ว่า เป็นการเผยแพร่ทางวัฒนธรรม เป็นไปได้อย่างสะดวกรวดเร็วและกว้างขวาง ประจักษ์ พยานในเรื่องนี้จะเห็นได้ว่าน้ำอัดลมชื่อต่าง ๆ มีอยู่ทั่วทุกมุมโลก วัฒนธรรมของสังคมอื่น ซึ่งได้เผยแพร่เข้ามาในสังคมไทยก็คือ</span><strong style="background-color: white;"><span style="font-family: 'MS Sans Serif';">ศาสนาพราหมณ์ </span></strong><span style="font-family: 'MS Sans Serif';">ได้เผยแพร่เข้ามาในสังคมไทย โดยผ่าน ทางเขมร อินโดนีเซีย และมลายู อันเป็นที่มาของประเพณีต่าง ๆ ซึ่งได้รับการปฏิบัติกันอยู่ในสังคมไทย เช่น ประเพณีสงกรานต์ ประเพณีอาบน้ำในพิธีการต่าง ๆ ได้แก่ อาบน้ำในพิธีปลงผมไฟ อาบน้ำ ในพิธีโกนจุก การอาบน้ำในพิธีการแต่งงาน และการอาบน้ำศพ เป็นต้น</span><br />
<span style="font-family: 'MS Sans Serif';"><strong></strong></span><span style="font-family: 'MS Sans Serif';"><strong><br /></strong></span><br />
<span style="font-family: 'MS Sans Serif';"><strong>พุทธศาสนา</strong><br />ได้เผยแพร่เข้ามาในสังคมไทย โดยผ่านทาง ประเทศ จีน พม่า และลังกา พุทธศาสนาได้เป็นศาสนาประจำชาติไทย ซึ่งก่อให้เกิดประเพณีมากมาย หรือ อาจกล่าวได้ว่าพุทธศาสนาผูกพันกับวิถีชีวิตของคนไทยตั้งแต่เกิดจนตาย ประเพณีที่สำคัญ ๆ ได้แก่ การก่อพระเจดีย์ทราย การทอดกฐิน และการบวชนาค เป็นต้น</span><br />
<span style="font-family: 'MS Sans Serif';"></span><span style="font-family: 'MS Sans Serif';"><br /></span><br />
<span style="font-family: 'MS Sans Serif';"> <strong>วัฒนธรรมตะวันตก </strong><br />ที่มาของวัฒนธรรมไทยอีกแหล่งหนึ่งก็คือ วัฒนธรรมตะวันตกซึ่งได้หลั่งไหลเข้ามาในสังคมไทย อันเป็นผลสืบเนื่องมาจากความสะดวก รวดเร็วของการติดต่อสื่อสารคมนาคมและสื่อมวลชน วัฒนธรรมตะวันตกที่ได้เผยแพร่เข้ามา ก็ได้แก่ มรรยาทในการสังคม เช่น การสัมผัสมือ (shake hand) การกีฬา เช่น รักบี้ ฟุตบอล และการแต่งกายแบบสากล อันได้แก่ ผูกเน็คไท สวมเสื้อนอก เป็นต้น (อานนท์ อาภาภิรม, 2519 : 105-107) </span><br />
<span style="font-family: 'MS Sans Serif';"><strong></strong></span><span style="font-family: 'MS Sans Serif';"><strong><br /></strong></span><br />
<span style="font-family: 'MS Sans Serif';"><strong>เอกลักษณ์ของวัฒนธรรมไทย </strong></span><br />
<span style="font-family: 'MS Sans Serif';"><strong></strong></span><span style="font-family: 'MS Sans Serif';"><strong>ศาสนา</strong></span><br />
<span style="font-family: 'MS Sans Serif';"></span><span style="font-family: 'MS Sans Serif';"> ศาสนาเป็นสถาบันที่สำคัญควบคู่กับสังคมมนุษย์มาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันนี้ ไม่ว่า สังคมของชนชาติใด หรือภาษาใด เพราะศาสนาเป็นสิ่งที่มากับชีวิตมนุษย์ทุกคน และมีความ สัมพันธ์ ต่อปรากฏการณ์ต่าง ๆ ในสังคมมนุษย์เป็นอย่างมาก เนื่องจากศาสนา เป็นสื่อระหว่าง มนุษย์กับปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่มีอำนาจเหนือมนุษย์ ฉะนั้นศาสนาจึงเป็นที่รวมของความ เคารพนับถือสูงสุดของมนุษย์เป็นที่พึ่งทางด้านจิตใจ และเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิต เพื่อให้ เข้าถึงสิ่งสูงสุดตามอุดมการณ์หรือความเชื่อถือนั้น ๆ และศาสนาเป็นสิ่งที่มีอิทธิพลต่อการสร้าง สรรค์วัฒนธรรมด้านอื่น ๆ แทบทุกด้าน เช่น วัฒนธรรมทางการเมืองการปกครองเศรษฐกิจ ศิลปกรรม วรรณกรรม และขนบธรรมเนียมประเพณีต่าง ๆ </span><br />
<span style="font-family: 'MS Sans Serif';"><strong></strong></span><span style="font-family: 'MS Sans Serif';"><strong><br /></strong></span><br />
<span style="font-family: 'MS Sans Serif';"><strong>พุทธศาสนากับชีวิตประจำวันของคนไทย</strong></span><br />
<span style="font-family: 'MS Sans Serif';"></span><span style="font-family: 'MS Sans Serif';"> คนไทยมีความสัมพันธ์กับพระพุทธศาสนามาเป็นเวลานานนับพันปีเศษมาแล้ว พุทธ ศาสนิกชนทั้งหลายมีความรู้สึกเคารพและศรัทธาในพุทธศาสนาฝังอยู่ในสายเลือดของคนไทยมา ตั้งแต่เกิดจนตาย พุทธศาสนาเป็นศาสนาที่จำเป็นต่อสังคมไทยเป็นอย่างมาก เพราะศาสนาพุทธ ได้ผูกมัดจิตใจคนไทยทั้งชาติให้เป็นคนรักสันติ รักอิสระเสรี มีนิสัยโอบอ้อมอารี มีความเมตตา กรุณา เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน พุทธศาสนาได้ฝังรากลงในจิตใจของ คนไทยทั้งใน อดีตและปัจจุบัน คนไทยจึงได้แสดงออกทางศิลปกรรมต่าง ๆ เช่น จิตรกรรมมักจะเป็นเรื่องราว เกี่ยวกับชาดกต่าง ๆ ในพุทธประวัติด้านสถาปัตยกรรมก็มีการสร้างวัดวาอารามต่าง ๆ โบสถ์ วิหาร เจดีย์ เป็นต้น ส่วนดนตรีไทยก็ให้ความเยือกเย็นตามแนวทางสันติของพุทธศาสนา ด้วยอิทธิพลของ หลักธรรมในพระพุทธศาสนาทำให้จิตใจของคนไทยแสดงออกมาในลักษณะที่เยือกเย็นมีความเกื้อกูลปรองดองกัน ให้การพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน และทำให้คนไทยพอใจในการดำรงชีวิต อย่าง สงบสุขมาจนกระทั่งทุกวันนี้</span><br />
<span style="font-family: 'MS Sans Serif';"><strong></strong></span><span style="font-family: 'MS Sans Serif';"><strong><br /></strong></span><br />
<span style="font-family: 'MS Sans Serif';"><strong>หลักคำสอนของพุทธศาสนา</strong></span><br />
<span style="font-family: 'MS Sans Serif';"></span><span style="font-family: 'MS Sans Serif';"> คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า คือ "พระธรรม" ซึ่งพระพุทธองค์ทรง มุ่งสอน สำหรับบุคคลทุกประเภททั้งบรรพชิต และคฤหัสถ์ การสั่งสอนของพระพุทธเจ้า มุ่งผล ในทางปฏิบัติมากกว่าทฤษฎี หลักคำสอนที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้อาจจำแนกออกเป็น 2 ระดับ ดังนี้</span><br />
<span style="font-family: 'MS Sans Serif';"><strong></strong></span><span style="font-family: 'MS Sans Serif';"><strong><br /></strong></span><br />
<span style="font-family: 'MS Sans Serif';"><strong>โลกุตรธรรม</strong>โลกุตรธรรมเป็นธรรมชั้นสูงที่พระพุทธเจ้า ทรงสอนปัญจวัคคีย์เป็นครั้งแรก คือ "อริยสัจสี่" หรือความจริงอันประเสริฐ 4 ประการ ได้แก่ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ และมรรค</span><br />
<span style="font-family: 'MS Sans Serif';"></span><span style="font-family: 'MS Sans Serif';"> 1) ทุกข์ คือ ความไม่สบายกายไม่สบายใจ อันเกิดจาก การเกิด การแก่ การเจ็บ และการตาย เช่น การพลัดพรากจากคนรัก ความไม่สมหวัง ความคับแค้น ใจต่าง ๆ การเจ็บไข้ได้ป่วย เป็นต้น ที่ทุกชีวิตทุกคนในสังคมต้องประสบ</span><br />
<span style="font-family: 'MS Sans Serif';"></span><span style="font-family: 'MS Sans Serif';"> 2) สมุทัย คือ เหตุที่ทำให้เกิดทุกข์ ได้แก่ ตัณหา 3 ประการคือ กามตัณหา ภวตัณหา และวิภวตัณหา</span><br />
<span style="font-family: 'MS Sans Serif';"></span><span style="font-family: 'MS Sans Serif';"> - กามตัณหา คือ ความอยากได้ในสิ่งที่น่ารักใคร่</span><br />
<span style="font-family: 'MS Sans Serif';"></span><span style="font-family: 'MS Sans Serif';"> - ภวตัณหา คือ ความอยากมีอยากเห็น</span><br />
<span style="font-family: 'MS Sans Serif';"></span><span style="font-family: 'MS Sans Serif';"> - วิภวตัณหา คือ ความไม่อยากมี ไม่อยากเป็น</span><br />
<span style="font-family: 'MS Sans Serif';"></span><span style="font-family: 'MS Sans Serif';"> 3) นิโรธ คือ ความดับทุกข์หรือการดับตัณหาและ ความ ทะเยอทะยานต่าง ๆ ให้หมดสิ้นไป</span><br />
<span style="font-family: 'MS Sans Serif';"></span><span style="font-family: 'MS Sans Serif';"> 4) มรรค คือ ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ ได้แก่ มรรค 8 หรือมัชฌิมาปฏิปทา (ทางสายกลาง) ได้แก่ ปัญญาชอบ ดำริชอบ เจรจาชอบ ทำการงานชอบ เลี้ยงชีพชอบ ทำความเพียรชอบ ระลึกชอบ และตั้งใจชอบ</span><br />
<span style="font-family: 'MS Sans Serif';"><strong></strong></span><span style="font-family: 'MS Sans Serif';"><strong>โลกียธรรม </strong>โลกียธรรมเป็นธรรมสำหรับปุถุชนชาวโลก ทั่วไป มีดังนี้</span><br />
<span style="font-family: 'MS Sans Serif';"><strong></strong></span><span style="font-family: 'MS Sans Serif';"><strong><br /></strong></span><br />
<span style="font-family: 'MS Sans Serif';"><strong>เบญจศีลและเบญจธรรม<small><small><small><span style="font-size: small;"> </span></small></small></small></strong><small><small><small><span style="font-size: small;"> </span></small></small></small>เบญจศีล</span><br /><span style="font-family: 'MS Sans Serif';">1. เว้นจากการฆ่าสัตว์<br />2. เว้นจากการลักทรัพย์<br />3. เว้นจากการประพฤติผิดในกาม<br />4. เว้นจากการพูดเท็จ<br />5. เว้นจากการดื่มสุราเมรัย<br />เบญจธรรม<br />1. มีเมตตากรุณา<br />2. เลี้ยงชีพชอบในทางที่ถูกต้อง<br />3. มีความสำรวมระวังในกาม<br />4. พูดแต่คำสัตย์จริง<br />5. มีสติระวังรักษาตนไว้เสมอ</span><br />
<span style="font-family: 'MS Sans Serif';"><strong></strong></span><span style="font-family: 'MS Sans Serif';"><strong>พรหมวิหาร </strong>คือ ธรรมประจำใจของผู้ประเสริฐ หรือ ผู้มีจิตใจในอันดีงามประดุจดังพระพรหม มีดังนี้</span><small><span style="font-size: small;"><br /></span><span style="font-family: 'MS Sans Serif'; font-size: small;"> </span></small><span style="font-family: 'MS Sans Serif';">- เมตตา ได้แก่ ความรัก ความปรารถนาดี ให้ผู้อื่น มีความสุข<small><span style="font-size: small;"><br /> </span></small>- กรุณา ได้แก่ ความสงสาร อยากช่วยเหลือผู้อื่น ๆ ให้พ้นทุกข์<small><span style="font-size: small;"><br /> </span></small>- มุทิตา ได้แก่ พลอยชื่นชมยินดีเมื่อเห็น ผู้อื่นมี ความ สุข<small><span style="font-size: small;"><br /> </span></small>- อุเบกขา ได้แก่ ความวางใจเป็นกลาง วางตนและ ปฏิบัติไปตามความเที่ยง</span><br />
<span style="font-family: 'MS Sans Serif';"><strong></strong></span><span style="font-family: 'MS Sans Serif';"><strong><br /></strong></span><br />
<span style="font-family: 'MS Sans Serif';"><strong>สังคหวัตถุ </strong>คือ การสงเคราะห์หรือ ธรรมแห่งการ ยึด เหนี่ยวบุคคลให้เกิดความสามัคคีมี 4 ประการ คือ</span><small><span style="font-size: small;"><br /></span><span style="font-family: 'MS Sans Serif'; font-size: small;"> </span></small><span style="font-family: 'MS Sans Serif';">- ทาน คือ การให้ การเสียสละ การเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ช่วยเหลือ แบ่งปันซึ่งกันและกันด้วยสิ่งของหรือแนะนำให้ความรู้ เป็นต้น<small><span style="font-size: small;"><br /> </span></small>- ปิยวาจา ได้แก่ วาจาที่ไพเราะอ่อนหวาน ชี้แจง แนะนำ สิ่งที่เป็นประโยชน์หรือชักจูงในสิ่งที่ดีงาม<small><span style="font-size: small;"><br /> </span></small>- อัตถจริยา คือ การบำเพ็ญประโยชน์ ได้แก่ การ ช่วยเหลือด้วยแรงกาย บำเพ็ญประโยชน์ รวมทั้งช่วยแก้ไขปรับปรุงด้านจริยธรรม<small><span style="font-size: small;"><br /> </span></small>- สมานัตตตา ความมีเมตตา คือ การวางตน เสมอต้นเสมอปลาย ให้ความเสมอภาค ร่วมแก้ปัญหาเพื่อให้เกิดประโยชน์สุขแก่ส่วนรวม</span><br />
<span style="font-family: 'MS Sans Serif';"><strong></strong></span><span style="font-family: 'MS Sans Serif';"><strong><br /></strong></span><br />
<span style="font-family: 'MS Sans Serif';"><strong>ฆราวาสธรรม </strong>คือ หลักธรรมที่ใช้ปฏิบัติสำหรับ ผู้ครองเรือน มี 4 ประการ ได้แก่</span><small><span style="font-size: small;"><br /></span><span style="font-family: 'MS Sans Serif'; font-size: small;"> </span></small><span style="font-family: 'MS Sans Serif';">- สัจจะ ความจริงคือ ซื่อตรงต่อกันทั้งการกระทำ วาจา และใจ ทั้งต่อหน้าและลับหลัง<small><span style="font-size: small;"><br /> </span></small>- ทมะ คือ การรู้จักควบคุมจิตใจ ฝึกหัดดัดนิสัย แก้ไขข้อบกพร่องต่าง ๆ ปรับตัวปรับใจเข้าหากัน<small><span style="font-size: small;"><br /> </span></small>- ขันติ ความอดทน ได้แก่ การมีจิตใจเข้มแข็ง หนักแน่น ไม่วู่วาม อดทนต่อความล่วงล้ำก้ำเกินกัน ลำบากตรากตรำ ฝ่าฟันอุปสรรคต่าง ๆ ไปด้วยกัน<small><span style="font-size: small;"><br /> </span></small>- จาคะ คือ การเสียสละ เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ช่วย เหลือ ซึ่งกันและกัน สามารถสละความสุขส่วนตัวเพื่อคู่ครองได้</span><br />
<span style="font-family: 'MS Sans Serif';"></span><br />
<div style="font-family: 'Times New Roman';">
<span style="font-family: 'MS Sans Serif';"><span style="font-family: 'MS Sans Serif';"><strong><br /></strong></span></span></div>
<div style="font-family: 'Times New Roman';">
<span style="font-family: 'MS Sans Serif';"><span style="font-family: 'MS Sans Serif';"><strong>ความเชื่อ</strong></span><small><span style="font-size: small;"><br /></span><span style="font-family: 'MS Sans Serif'; font-size: small;"> </span></small><span style="font-family: 'MS Sans Serif';">ความเชื่อที่พบอยู่ในสังคมไทยนับแต่โบราณมาจนถึงปัจจุบันนี้ ได้แก่ เรื่อง ไสยศาสตร์และโหราศาสตร์ ที่มีความใกล้ชิดซึ่งกันและกัน และใกล้ชิดกับชีวิตของ คนไทยทั้งที่อยู่ ในสังคมดั้งเดิมและที่อยู่ในสังคมเมืองหรือสังคมทันสมัย (modern society) </span></span></div>
<span style="font-family: 'MS Sans Serif';"><span style="font-family: 'Times New Roman';"></span><strong style="font-family: 'Times New Roman';"><span style="font-family: 'MS Sans Serif';"></span></strong><div style="font-family: 'Times New Roman';">
<br /></div>
<div style="font-family: 'Times New Roman';">
<strong><span style="font-family: 'MS Sans Serif';">ไสยศาสตร์</span></strong><br />
<span style="font-family: 'MS Sans Serif';"><strong> </strong>คำว่า ไสยศาสตร์นี้ได้มีท่านผู้รู้ให้ความหมายไว้ต่างๆ กันมากมาย แต่อย่างไร ก็ตาม ความหมายนั้นก็มีแนวโน้มมาในทำนองเดียวกัน เช่น</span></div>
<span style="font-family: 'Times New Roman';"></span><span style="font-family: 'MS Sans Serif';"></span><div style="font-family: 'Times New Roman';">
<span style="font-family: 'MS Sans Serif';"> ไสยศาสตร์ คือ การเชื่อถือโดยรู้สึกเกรงขามหรือกลัวในสิ่งที่เข้าใจว่า อยู่เหนือ ธรรมชาติหรือใน สิ่งลึกลับ อันไม่สามารถจะทราบด้วยเหตุผลตามหลักวิทยาศาสตร์ และสิ่งนั้นอาจจะให้ดีหรือร้ายแก่ผู้ที่เชื่อถือก็ได้ เมื่อมีความรู้สึกเช่นนั้นก็สำแดงความเชื่อหรือความรู้สึกนั้นออกมา เป็นรูปพิธีรีตอง ประกอบไปด้วยคาถาและเวทมนตร์เพื่ออำนวยประโยชน์แก่ผู้เชื่อถือในทางดี เช่น เพื่อให้เกิดความ เป็นสิริมงคล ป้องกันเหตุร้าย หรือมิให้อุบาทว์จัญไรเข้ามาเบียดเบียน หรือ ถ้าเข้ามาแล้วก็ขับไล่ ให้หนีไปเสีย</span></div>
<span style="font-family: 'Times New Roman';"></span><span style="font-family: 'MS Sans Serif';"></span><div style="font-family: 'Times New Roman';">
<span style="font-family: 'MS Sans Serif';"> ไสยศาสตร์เป็นคู่ผัวตัวเมียกับอารมณ์ ของมนุษย์ ที่ปราศจากเหตุผล คำว่า "อารมณ์" ในที่นี้หมายถึงความรู้สึดหรือความนึกคิด ที่ปล่อยให้ไปตามความรู้สึกล้วนๆ ตามธรรมชาติของสัตว์(ไม่อาศัยการใช้เหตุผลเลย ถ้ามีการใช้สติปัญญา หรือ เหตุผล ขึ้นเมื่อไรสิ่งที่เรียกว่า "ไสยศาสตร์" ก็มีไม่ได้)</span></div>
<span style="font-family: 'Times New Roman';"></span><span style="font-family: 'MS Sans Serif';"></span><div style="font-family: 'Times New Roman';">
<span style="font-family: 'MS Sans Serif';"> อาจกล่าวได้ว่า ไสยศาสตร์นั้นเป็นเรื่องของเวทมนตร์คาถา เป็นเรื่องของ อำนาจลึกลับของผีสางเทวดา หรือของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เช่น เครื่องรางของขลัง น้ำมนต์ เคล็ด คาถา และอาคม เป็นต้น</span></div>
<span style="font-family: 'Times New Roman';"></span><span style="font-family: 'MS Sans Serif';"></span><div style="font-family: 'Times New Roman';">
<span style="font-family: 'MS Sans Serif';"> การที่คนเราสนใจไสยศาสตร์นั้นมีเหตุ 2 ประการ คือ เพราะความกลัว เช่น กลัวผี กลัวต้นไม้ใหญ่ กลัวภัยพิบัติ กลัวความเจ็บไข้ได้ป่วย และกลัวอุบัติเหตุต่าง ๆ และเพราะ ความ ต้องการ เช่น ต้องการโชคลาภ ต้องการชัยชนะในการแข่งขันความสุขและความปลอดภัย เป็นต้น</span></div>
<span style="font-family: 'Times New Roman';"></span><span style="font-family: 'MS Sans Serif';"></span><div style="font-family: 'Times New Roman';">
<span style="font-family: 'MS Sans Serif';"> การที่สมาชิกของสังคมสนใจในเรื่องไสยศาสตร์ ย่อมสะท้อนให้เห็นถึงสถานการณ์แน่ ไม่แน่นอนและไม่มั่นคงของสังคม เช่น เมื่อบุคคลเกิดความรู้สึกว่าชะตาชีวิต หรือทรัพย์สิน ของตน อยู่ในภาวะที่ไม่แน่นอนหรือไม่มั่นคงยากยิ่งขึ้นเท่าใด บุคคลเหล่านั้นจะแสวงหาทุกสิ่งทุกอย่าง รวมทั้ง ไสยศาสตร์เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวมากขึ้นเท่านั้น</span></div>
</span></li>
</ul>Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/09618402395013393039noreply@blogger.com0